ประเภทสำนวน
"กินบนเรือนแล้วขี้รดหลังคา" จัดว่าเป็น คำพังเพย เพราะว่า เป็นข้อความที่มีลักษณะเปรียบเปรย มีความหมายแฝงที่ต้องตีความเพิ่มเติม อธิบายพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของคนบางประเภท โดยไม่ได้สอนโดยตรงเหมือนสุภาษิต แต่ใช้การเปรียบเทียบให้เห็นถึงความไม่เหมาะสม
ที่มาและแนวคิดเบื้องหลัง
คำพังเพยนี้มีที่มาจากการเปรียบเทียบกับพฤติกรรมที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง คือ การที่คนได้เข้าไปอาศัยกินอยู่ในบ้านผู้อื่น ได้รับความเมตตาและความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ แต่กลับไม่รู้บุญคุณ ยังทำตัวไม่ดี ประพฤติตัวไม่สมควร เปรียบเหมือนคนที่ได้กินอาหารบนเรือน แต่กลับไปขับถ่ายรดหลังคา ซึ่งเป็นการกระทำที่ก่อความเสียหายและแสดงถึงความอกตัญญู
ตัวอย่างการใช้สำนวน "กินบนเรือนแล้วขี้รดหลังคา" ในประโยค
- เขาเลี้ยงดูอุปการะเธอมาตั้งแต่เด็ก พอโตขึ้นเธอกลับแอบไปคบหาดูใจกับคนที่เขาเกลียดที่สุด นี่มันกินบนเรือนขี้รดหลังคาชัดๆ
- บริษัทให้ทุนเรียนต่อปริญญาโทเขามาตลอด แต่พอเรียนจบกลับลาออกไปทำงานกับบริษัทคู่แข่ง นี่เรียกว่ากินบนเรือนขี้รดหลังคา
สรุปและทบทวนเรื่อง สำนวน สุภาษิต และคำพังเพย
สุภาษิต และคำพังเพย จัดเป็น "สำนวน" ด้วยกันทั้งคู่ เพราะมีความหมายในเชิงเปรียบเทียบ และเป็นถ้อยคำที่ใช้สืบเนื่องกันมานาน
สุภาษิต เป็นถ้อยคำที่มักใช้คำสั้น ๆ กะทัดรัดแต่มีความหมายลึกซึ้ง มีสัมผัสคล้องจอง ส่วนใหญ่สุภาษิตที่ใช้ในสังคมไทยมักมีที่มาจากคำสอนทางพุทธศาสนา
คำพังเพย เป็นถ้อยคำที่ให้ข้อคิด โดยกล่าวถึงพฤติกรรมหรือธรรมชาติรอบตัว ส่วนมากมักเป็นถ้อยคำที่เป็นข้อสรุปการกระทำหรือพฤติกรรมทั่วไป อาจมีที่มาจากนิทาน ตำนาน วรรณคดี