คนที่เนรคุณคน
เปรียบได้กับคนที่อาศัยพักพิงบ้านเขาอยู่แล้ว คิดทำมิดีมิชอบให้เกิดขึ้นภายในบ้านนั้น ทำให้เจ้าของบ้านที่ให้อาศัยต้องเดือดร้อน
กินบนเรือนขี้บนหลังคา ก็ว่า
ประเภทสำนวน
"กินบนเรือน ขี้รดบนหลังคา" จัดว่าเป็น คำพังเพย เพราะว่า เป็นการเปรียบเปรยเกี่ยวกับพฤติกรรมของคนอกตัญญู ไม่ใช่คำสอนโดยตรงแบบสุภาษิต และมีความหมายแฝงที่ต้องตีความเพิ่มเติม จึงจัดเป็นคำพังเพย
ที่มาและแนวคิดเบื้องหลัง
คำพังเพยนี้เปรียบเทียบกับพฤติกรรมของสัตว์ที่อาศัยอยู่ในเรือนหรือบ้านของคน ได้กินอาหารบนบ้าน แต่กลับขับถ่ายรดหลังคา ซึ่งเป็นการทำลายที่อยู่ของตนเอง เปรียบเหมือนคนที่ได้รับประโยชน์จากผู้มีพระคุณแต่กลับประพฤติเนรคุณหรือทำร้ายผู้มีพระคุณ
ตัวอย่างการใช้สำนวน "กินบนเรือน ขี้รดบนหลังคา" ในประโยค
- เธอเป็นลูกน้องที่ได้รับความไว้วางใจจากเจ้านาย แต่กลับนำความลับบริษัทไปขายให้คู่แข่ง ทำแบบนี้เรียกว่ากินบนเรือน ขี้รดบนหลังคาชัดๆ
- เขาเลี้ยงดูลูกจนเรียนจบ พอมีงานดีๆ ทำกลับไม่เหลียวแลพ่อแม่ นี่แหละที่เรียกว่ากินบนเรือน ขี้รดบนหลังคา
- พวกที่ได้รับทุนรัฐบาลไปเรียนต่อต่างประเทศ แต่พอเรียนจบกลับไม่ยอมกลับมาทำงานใช้ทุนคืน ก็เป็นพวกกินบนเรือน ขี้รดบนหลังคาทั้งนั้น
สรุปและทบทวนเรื่อง สำนวน สุภาษิต และคำพังเพย
สุภาษิต และคำพังเพย จัดเป็น "สำนวน" ด้วยกันทั้งคู่ เพราะมีความหมายในเชิงเปรียบเทียบ และเป็นถ้อยคำที่ใช้สืบเนื่องกันมานาน
สุภาษิต เป็นถ้อยคำที่มักใช้คำสั้น ๆ กะทัดรัดแต่มีความหมายลึกซึ้ง มีสัมผัสคล้องจอง ส่วนใหญ่สุภาษิตที่ใช้ในสังคมไทยมักมีที่มาจากคำสอนทางพุทธศาสนา
คำพังเพย เป็นถ้อยคำที่ให้ข้อคิด โดยกล่าวถึงพฤติกรรมหรือธรรมชาติรอบตัว ส่วนมากมักเป็นถ้อยคำที่เป็นข้อสรุปการกระทำหรือพฤติกรรมทั่วไป อาจมีที่มาจากนิทาน ตำนาน วรรณคดี