ทำผิดแล้วมักออกตัว, แสดงพิรุธ
ทำอาการมีพิรุธขึ้นเอง, แสดงอาการเดือดร้อนขึ้นเอง
เปรียบเหมือนคนเมื่อทำความผิดแล้วเกรงว่าคนอื่นจะจับความผิดของตนได้ อันที่จริง เฉยไว้ก็ไม่มีใครรู้แต่กลับแสดงอาการพิรุธออกมาให้เห็นก่อนที่คนอื่นจะรู้
ทำอาการมีพิรุธเอง, แสดงอาการเดือดร้อนขึ้นเอง
ประเภทสำนวน
"กินปูนร้อนท้อง" จัดว่าเป็น คำพังเพย เพราะว่า เป็นการเปรียบเปรยพฤติกรรมของคนที่รู้สึกผิดจนแสดงอาการให้ผู้อื่นสังเกตเห็น มีลักษณะเป็นการเปรียบเทียบ ไม่ใช่คำสอนโดยตรง และต้องตีความความหมายแฝง
ที่มาและแนวคิดเบื้องหลัง
สำนวนนี้เปรียบการแสดงอาการผิดปกติของคนที่รู้สึกผิด เหมือนคนที่กินปูนซึ่งมีฤทธิ์ร้อน แล้วทำให้เกิดอาการร้อนในท้อง ทำให้กระสับกระส่าย ไม่อยู่นิ่ง ในความหมายคือ คนที่ทำผิดแล้วมีพิรุธ เกิดความรู้สึกผิด จึงแสดงอาการผิดปกติให้ผู้อื่นสังเกตเห็นได้
ตัวอย่างการใช้สำนวน "กินปูนร้อนท้อง" ในประโยค
- เห็นแกแสดงอาการกระวนกระวายเมื่อพูดถึงเรื่องพัสดุที่หายไป ผมว่าต้องกินปูนร้อนท้องแน่ๆ
- ทุกคนเงียบกันหมด แต่มีแต่ตุ๊กที่พูดแก้ตัวยืดยาว ราวกับคนกินปูนร้อนท้อง ทำให้ยิ่งน่าสงสัยว่าเธอเป็นคนขโมยของไปจริงๆ
สรุปและทบทวนเรื่อง สำนวน สุภาษิต และคำพังเพย
สุภาษิต และคำพังเพย จัดเป็น "สำนวน" ด้วยกันทั้งคู่ เพราะมีความหมายในเชิงเปรียบเทียบ และเป็นถ้อยคำที่ใช้สืบเนื่องกันมานาน
สุภาษิต เป็นถ้อยคำที่มักใช้คำสั้น ๆ กะทัดรัดแต่มีความหมายลึกซึ้ง มีสัมผัสคล้องจอง ส่วนใหญ่สุภาษิตที่ใช้ในสังคมไทยมักมีที่มาจากคำสอนทางพุทธศาสนา
คำพังเพย เป็นถ้อยคำที่ให้ข้อคิด โดยกล่าวถึงพฤติกรรมหรือธรรมชาติรอบตัว ส่วนมากมักเป็นถ้อยคำที่เป็นข้อสรุปการกระทำหรือพฤติกรรมทั่วไป อาจมีที่มาจากนิทาน ตำนาน วรรณคดี
ประเภทสำนวน
"กินปูนร้อนท้อง" จัดว่าเป็น สำนวนไทย เพราะว่า เป็นวลีที่ไม่สามารถแปลตรงตัวได้และต้องตีความเป็นความหมายเฉพาะ การกินปูนไม่ได้สื่อความหมายตรงตัว แต่เป็นการเปรียบเทียบพฤติกรรมของคนที่รู้สึกผิด
ที่มาและแนวคิดเบื้องหลัง
สำนวนนี้มาจากการเปรียบเทียบว่า คนที่รู้สึกผิดมักจะแสดงอาการออกมาเองโดยไม่มีใครทัก เหมือนคนที่กินปูนร้อนเข้าไปแล้วรู้สึกร้อนท้อง ต้องดิ้นหรือทุรนทุรายเพราะความร้อนนั้น เป็นการสะท้อนว่าผู้ที่ทำผิดมักจะมีความรู้สึกผิดอยู่ในใจ และแสดงอาการออกมาให้คนอื่นรู้โดยไม่รู้ตัว
ตัวอย่างการใช้สำนวน "กินปูนร้อนท้อง" ในประโยค
- พอครูถามว่าใครเอาของไป จิ๊บก็หน้าแดง พูดจาตะกุกตะกัก ดูท่าจะกินปูนร้อนท้องแล้วล่ะ
- เธอไม่ต้องไปถามหรอกว่าใครแอบนินทาเธอ ดูสิ คนที่กินปูนร้อนท้องจะรีบปฏิเสธและแก้ตัวเองโดยที่ไม่มีใครไปกล่าวหา
สรุปและทบทวนเรื่อง สำนวน สุภาษิต และคำพังเพย
สุภาษิต และคำพังเพย จัดเป็น "สำนวน" ด้วยกันทั้งคู่ เพราะมีความหมายในเชิงเปรียบเทียบ และเป็นถ้อยคำที่ใช้สืบเนื่องกันมานาน
สุภาษิต เป็นถ้อยคำที่มักใช้คำสั้น ๆ กะทัดรัดแต่มีความหมายลึกซึ้ง มีสัมผัสคล้องจอง ส่วนใหญ่สุภาษิตที่ใช้ในสังคมไทยมักมีที่มาจากคำสอนทางพุทธศาสนา
คำพังเพย เป็นถ้อยคำที่ให้ข้อคิด โดยกล่าวถึงพฤติกรรมหรือธรรมชาติรอบตัว ส่วนมากมักเป็นถ้อยคำที่เป็นข้อสรุปการกระทำหรือพฤติกรรมทั่วไป อาจมีที่มาจากนิทาน ตำนาน วรรณคดี
ประเภทสำนวน
"กินปูนร้อนท้อง" จัดว่าเป็น คำพังเพย เพราะว่า เป็นข้อความเปรียบเทียบที่มีความหมายแฝง ต้องตีความเพิ่มเติม แสดงถึงพฤติกรรมของคนที่แสดงอาการผิดปกติเมื่อรู้สึกผิด ไม่ใช่คำสอนโดยตรง และไม่ใช่สำนวนที่แปลตรงตัวไม่ได้
ที่มาและแนวคิดเบื้องหลัง
สำนวนนี้มาจากการเปรียบเทียบกับการกินปูนขาว (ที่ร้อน) เข้าไป แล้วทำให้ท้องร้อนหรือปวดท้อง คนที่ทำผิดย่อมรู้สึกไม่สบายใจ กระวนกระวาย คล้ายกับคนที่กินปูนร้อนๆ เข้าไปแล้วปวดท้อง จึงแสดงอาการผิดปกติออกมาให้คนอื่นสังเกตเห็นได้
ตัวอย่างการใช้สำนวน "กินปูนร้อนท้อง" ในประโยค
- เขาถามเรื่องเงินหายว่าใครเอาไป ปิติถึงกับหน้าซีดแล้วรีบเดินหนีไป ดูท่าเหมือนคนกินปูนร้อนท้อง
- ทุกคนในห้องเงียบกริบเมื่อครูถามว่าใครลอกการบ้าน มีแต่สมชายที่นั่งไม่ติดเก้าอี้ ดูท่าจะกินปูนร้อนท้องแล้วล่ะ
สรุปและทบทวนเรื่อง สำนวน สุภาษิต และคำพังเพย
สุภาษิต และคำพังเพย จัดเป็น "สำนวน" ด้วยกันทั้งคู่ เพราะมีความหมายในเชิงเปรียบเทียบ และเป็นถ้อยคำที่ใช้สืบเนื่องกันมานาน
สุภาษิต เป็นถ้อยคำที่มักใช้คำสั้น ๆ กะทัดรัดแต่มีความหมายลึกซึ้ง มีสัมผัสคล้องจอง ส่วนใหญ่สุภาษิตที่ใช้ในสังคมไทยมักมีที่มาจากคำสอนทางพุทธศาสนา
คำพังเพย เป็นถ้อยคำที่ให้ข้อคิด โดยกล่าวถึงพฤติกรรมหรือธรรมชาติรอบตัว ส่วนมากมักเป็นถ้อยคำที่เป็นข้อสรุปการกระทำหรือพฤติกรรมทั่วไป อาจมีที่มาจากนิทาน ตำนาน วรรณคดี