คำสุภาษิต ขายผ้า เอาหน้ารอด, ขายผ้าเอาหน้ารอด
ดูเนื้อหาของทั้ง 2 คำ ตามด้านล่าง
ยอมเสียทุกอย่างเพื่อรักษาชื่อเสียง
ประเภทสำนวน
"ขายผ้า เอาหน้ารอด" จัดว่าเป็น คำพังเพย เพราะว่า เป็นประโยคเปรียบเทียบที่ต้องตีความ ไม่ใช่คำสอนโดยตรงเหมือนสุภาษิต และไม่ใช่วลีเฉพาะที่มีความหมายพิเศษเหมือนสำนวนไทย แต่เป็นการเปรียบเปรยพฤติกรรมของคนที่ยอมเสียสละบางอย่างเพื่อรักษาหน้าตาหรือชื่อเสียงของตนเอง
ที่มาและแนวคิดเบื้องหลัง
สำนวนนี้เปรียบเทียบกับการยอมเสียสละทรัพย์สิน (ผ้า) เพื่อรักษาเกียรติหรือชื่อเสียง (หน้า) ของตน มาจากสถานการณ์ที่คนเมื่อตกอยู่ในภาวะคับขัน ยอมเสียทรัพย์สิน เงินทอง หรือสิ่งมีค่าเพื่อรักษาชื่อเสียงหรือหน้าตาในสังคมไว้ แทนที่จะเสียหน้า
ตัวอย่างการใช้สำนวน "ขายผ้า เอาหน้ารอด" ในประโยค
- เขายอมขายผ้าเอาหน้ารอดด้วยการบริจาคเงินก้อนใหญ่ให้งานการกุศลทั้งที่ตัวเองกำลังขัดสน เพียงเพราะอยากให้สังคมยอมรับ
- ถึงจะขาดทุนย่อยยับแต่บริษัทนี้ก็ยังจัดงานเลี้ยงหรูหราเพื่อขายผ้าเอาหน้ารอด ไม่ให้ใครรู้ว่ากำลังมีปัญหาทางการเงิน
สรุปและทบทวนเรื่อง สำนวน สุภาษิต และคำพังเพย
สุภาษิต และคำพังเพย จัดเป็น "สำนวน" ด้วยกันทั้งคู่ เพราะมีความหมายในเชิงเปรียบเทียบ และเป็นถ้อยคำที่ใช้สืบเนื่องกันมานาน
สุภาษิต เป็นถ้อยคำที่มักใช้คำสั้น ๆ กะทัดรัดแต่มีความหมายลึกซึ้ง มีสัมผัสคล้องจอง ส่วนใหญ่สุภาษิตที่ใช้ในสังคมไทยมักมีที่มาจากคำสอนทางพุทธศาสนา
คำพังเพย เป็นถ้อยคำที่ให้ข้อคิด โดยกล่าวถึงพฤติกรรมหรือธรรมชาติรอบตัว ส่วนมากมักเป็นถ้อยคำที่เป็นข้อสรุปการกระทำหรือพฤติกรรมทั่วไป อาจมีที่มาจากนิทาน ตำนาน วรรณคดี
ยอมเสียสละของสำคัญของตนเพื่อรักษาชื่อเสียงตนเอาไว้
ยอมเสียสละแม้แต่ของจำเป็นที่ตนมีอยู่ เพื่อรักษาชื่อเสียงของตนไว้
ประเภทสำนวน
"ขายผ้าเอาหน้ารอด" จัดว่าเป็น คำพังเพย เพราะว่า เป็นข้อความเปรียบเปรยที่มีความหมายแฝง ต้องตีความเพิ่มเติม ไม่ใช่คำสอนโดยตรง และไม่สามารถเข้าใจความหมายได้ทันทีหากแปลตรงตัว
ที่มาและแนวคิดเบื้องหลัง
สำนวนนี้มีที่มาจากพ่อค้าหรือแม่ค้าที่ยอมขายสินค้า (ผ้า) ในราคาที่ขาดทุนหรือไม่ได้กำไร เพียงเพื่อให้ตนเองรอดพ้นจากสถานการณ์คับขัน หรือรักษาหน้าตาของตนไว้ในสังคม เปรียบกับการยอมเสียสละทรัพย์สินหรือผลประโยชน์บางอย่างเพื่อรักษาชื่อเสียงหรือเอาตัวรอดในสถานการณ์เฉพาะหน้า
ตัวอย่างการใช้สำนวน "ขายผ้าเอาหน้ารอด" ในประโยค
- เขายอมขายผ้าเอาหน้ารอดด้วยการจ่ายเงินให้เพื่อนไปก่อน ทั้งที่ตัวเองก็ไม่มีเงินเหลือใช้แล้ว แต่กลัวคนอื่นจะมองว่าขี้เหนียว
- บริษัทยอมขายผ้าเอาหน้ารอด จัดงานเลี้ยงปีใหม่ใหญ่โตทั้งที่กำลังประสบปัญหาทางการเงิน เพราะไม่อยากให้พนักงานรู้ว่าบริษัทกำลังมีปัญหา
สรุปและทบทวนเรื่อง สำนวน สุภาษิต และคำพังเพย
สุภาษิต และคำพังเพย จัดเป็น "สำนวน" ด้วยกันทั้งคู่ เพราะมีความหมายในเชิงเปรียบเทียบ และเป็นถ้อยคำที่ใช้สืบเนื่องกันมานาน
สุภาษิต เป็นถ้อยคำที่มักใช้คำสั้น ๆ กะทัดรัดแต่มีความหมายลึกซึ้ง มีสัมผัสคล้องจอง ส่วนใหญ่สุภาษิตที่ใช้ในสังคมไทยมักมีที่มาจากคำสอนทางพุทธศาสนา
คำพังเพย เป็นถ้อยคำที่ให้ข้อคิด โดยกล่าวถึงพฤติกรรมหรือธรรมชาติรอบตัว ส่วนมากมักเป็นถ้อยคำที่เป็นข้อสรุปการกระทำหรือพฤติกรรมทั่วไป อาจมีที่มาจากนิทาน ตำนาน วรรณคดี
ประเภทสำนวน
"ขายผ้าเอาหน้ารอด" จัดว่าเป็น คำพังเพย เพราะว่า เป็นข้อความเปรียบเปรยพฤติกรรมของมนุษย์ที่ต้องตีความเพิ่มเติม มีความหมายแฝงที่เปรียบการกระทำที่ยอมเสียสละสิ่งมีค่าเพื่อรักษาหน้าตา ไม่ใช่คำสอนโดยตรงเหมือนสุภาษิต และไม่ใช่เพียงวลีเฉพาะแบบสำนวนไทย
ที่มาและแนวคิดเบื้องหลัง
มาจากการเปรียบเทียบกับการที่คนยอมขายผ้าที่มีค่า (สมัยโบราณผ้าทอมีค่ามาก) เพื่อแลกกับการรักษาหน้าตาหรือชื่อเสียงของตนเอง สะท้อนสังคมไทยที่ให้ความสำคัญกับ 'หน้าตา' และ 'ความอาย' มากกว่าทรัพย์สิน
ตัวอย่างการใช้สำนวน "ขายผ้าเอาหน้ารอด" ในประโยค
- แม้จะไม่มีเงินพอ แต่เขาก็ขายผ้าเอาหน้ารอดด้วยการซื้อของขวัญราคาแพงไปร่วมงานเลี้ยง
- พี่สาวเขาเป็นคนชอบขายผ้าเอาหน้ารอด แม้จะเป็นหนี้ท่วมหัวแต่ก็ยังต้องใช้กระเป๋าแบรนด์เนมเวลาไปพบเพื่อนฝูง
สรุปและทบทวนเรื่อง สำนวน สุภาษิต และคำพังเพย
สุภาษิต และคำพังเพย จัดเป็น "สำนวน" ด้วยกันทั้งคู่ เพราะมีความหมายในเชิงเปรียบเทียบ และเป็นถ้อยคำที่ใช้สืบเนื่องกันมานาน
สุภาษิต เป็นถ้อยคำที่มักใช้คำสั้น ๆ กะทัดรัดแต่มีความหมายลึกซึ้ง มีสัมผัสคล้องจอง ส่วนใหญ่สุภาษิตที่ใช้ในสังคมไทยมักมีที่มาจากคำสอนทางพุทธศาสนา
คำพังเพย เป็นถ้อยคำที่ให้ข้อคิด โดยกล่าวถึงพฤติกรรมหรือธรรมชาติรอบตัว ส่วนมากมักเป็นถ้อยคำที่เป็นข้อสรุปการกระทำหรือพฤติกรรมทั่วไป อาจมีที่มาจากนิทาน ตำนาน วรรณคดี