แสร้งทำเป็นว่าถือศีลเคร่งครัด ชอบเจริญภาวนาเข้ากรรมฐาน ที่ลวงให้คนอื่นเข้าใจว่าตนเป็นมีศีลมีธรรม เขาจะได้เชื่อถือไว้วางใจ
ประเภทสำนวน
"จำศีลเอาหน้า ภาวนาโกหก" จัดว่าเป็น สุภาษิต เพราะว่า เป็นคำสอนที่ตรงไปตรงมา เตือนให้คนไม่ควรทำศาสนกิจเพื่อเอาหน้า เข้าใจความหมายได้ทันทีและเป็นคำสอนทางศีลธรรมโดยตรง
ที่มาและแนวคิดเบื้องหลัง
สำนวนนี้เป็นคำสอนที่เตือนให้คนไม่ควรประพฤติปฏิบัติทางศาสนาเพียงเพื่อแสดงให้ผู้อื่นเห็นว่าตนเองเป็นคนดี มีศีลธรรม ในขณะที่ไม่ได้ตั้งใจปฏิบัติอย่างจริงจัง 'จำศีล' หมายถึงการถือศีลหรือรักษาศีล ส่วน 'ภาวนา' หมายถึงการทำสมาธิหรือเจริญภาวนา เป็นการเตือนว่าการปฏิบัติธรรมนั้นควรทำด้วยความจริงใจ ไม่ใช่เพื่อหวังคำชมหรือสร้างภาพลักษณ์
ตัวอย่างการใช้สำนวน "จำศีลเอาหน้า ภาวนาโกหก" ในประโยค
- ระวังนะ อย่าไปเชื่อคนที่จำศีลเอาหน้า ภาวนาโกหก แบบนั้น เขาแค่แสดงว่าตัวเองเคร่งศาสนาต่อหน้า แต่พอลับหลังกลับทำตัวไม่เหมาะสม
- สมัยนี้มีคนไปวัดถ่ายรูปลงโซเชียลกันเยอะ แต่ถ้าไปเพื่อให้คนชมว่าเป็นคนดี ก็จะกลายเป็นจำศีลเอาหน้า ภาวนาโกหก หมดความศักดิ์สิทธิ์ไป
สรุปและทบทวนเรื่อง สำนวน สุภาษิต และคำพังเพย
สุภาษิต และคำพังเพย จัดเป็น "สำนวน" ด้วยกันทั้งคู่ เพราะมีความหมายในเชิงเปรียบเทียบ และเป็นถ้อยคำที่ใช้สืบเนื่องกันมานาน
สุภาษิต เป็นถ้อยคำที่มักใช้คำสั้น ๆ กะทัดรัดแต่มีความหมายลึกซึ้ง มีสัมผัสคล้องจอง ส่วนใหญ่สุภาษิตที่ใช้ในสังคมไทยมักมีที่มาจากคำสอนทางพุทธศาสนา
คำพังเพย เป็นถ้อยคำที่ให้ข้อคิด โดยกล่าวถึงพฤติกรรมหรือธรรมชาติรอบตัว ส่วนมากมักเป็นถ้อยคำที่เป็นข้อสรุปการกระทำหรือพฤติกรรมทั่วไป อาจมีที่มาจากนิทาน ตำนาน วรรณคดี