ดุด่าว่ากล่าวแล้วกลับมาชม
ประเภทสำนวน
"ตบหัวแล้วลูบหลัง" จัดว่าเป็น คำพังเพย เพราะว่า เป็นข้อความเปรียบเทียบที่มีความหมายแฝง ต้องตีความเพิ่มเติม ไม่ใช่คำสอนโดยตรงเหมือนสุภาษิต และไม่ใช่คำหรือวลีเฉพาะที่แปลตรงตัวไม่ได้อย่างสำนวนไทย
ที่มาและแนวคิดเบื้องหลัง
สำนวนนี้มาจากลักษณะการกระทำที่ขัดแย้งกัน คือ 'ตบหัว' ซึ่งเป็นการทำร้าย แล้วตามด้วย 'ลูบหลัง' ซึ่งเป็นการปลอบประโลม เปรียบเทียบถึงพฤติกรรมของคนที่ทำให้ผู้อื่นเจ็บหรือโกรธก่อน แล้วจึงกลับมาปลอบโยนหรือขอโทษในภายหลัง เพื่อให้อีกฝ่ายหายโกรธ
ตัวอย่างการใช้สำนวน "ตบหัวแล้วลูบหลัง" ในประโยค
- เขามักจะดุลูกน้องอย่างรุนแรงต่อหน้าคนอื่น แล้วค่อยกลับมาให้กำลังใจทีหลังเป็นการส่วนตัว เรียกได้ว่าเป็นคนตบหัวแล้วลูบหลัง
- รัฐบาลออกมาตรการเก็บภาษีใหม่ทำให้ประชาชนเดือดร้อน แล้วจึงออกมาตรการช่วยเหลือเยียวยาตามมา นี่ก็เหมือนกับการตบหัวแล้วลูบหลังนั่นเอง
สรุปและทบทวนเรื่อง สำนวน สุภาษิต และคำพังเพย
สุภาษิต และคำพังเพย จัดเป็น "สำนวน" ด้วยกันทั้งคู่ เพราะมีความหมายในเชิงเปรียบเทียบ และเป็นถ้อยคำที่ใช้สืบเนื่องกันมานาน
สุภาษิต เป็นถ้อยคำที่มักใช้คำสั้น ๆ กะทัดรัดแต่มีความหมายลึกซึ้ง มีสัมผัสคล้องจอง ส่วนใหญ่สุภาษิตที่ใช้ในสังคมไทยมักมีที่มาจากคำสอนทางพุทธศาสนา
คำพังเพย เป็นถ้อยคำที่ให้ข้อคิด โดยกล่าวถึงพฤติกรรมหรือธรรมชาติรอบตัว ส่วนมากมักเป็นถ้อยคำที่เป็นข้อสรุปการกระทำหรือพฤติกรรมทั่วไป อาจมีที่มาจากนิทาน ตำนาน วรรณคดี