ทำสิ่งใดแก่ศัตรูไม่เด็ดขาดจริงจัง ย่อมได้รับผลร้ายภายหลัง
ประเภทสำนวน
"ตีงูให้หลังหัก" จัดว่าเป็น คำพังเพย เพราะว่า เป็นการเปรียบเทียบสถานการณ์หรือการกระทำบางอย่าง ไม่ใช่คำสอนโดยตรงแบบสุภาษิต และต้องตีความเพิ่มเติม ไม่สามารถเข้าใจได้จากความหมายตรงตัว
ที่มาและแนวคิดเบื้องหลัง
สำนวนนี้เปรียบเทียบถึงการทำร้ายผู้อื่นแต่ไม่ถึงกับทำลายล้าง เหมือนการตีงูให้บาดเจ็บ (หลังหัก) แต่ไม่ตายขาด ซึ่งเป็นอันตรายเพราะงูที่บาดเจ็บอาจจะกลับมาแก้แค้นได้ในภายหลัง สะท้อนถึงการจัดการกับศัตรูหรือปัญหาอย่างไม่เด็ดขาด ทำให้ยังมีโอกาสกลับมาสร้างปัญหาได้อีก
ตัวอย่างการใช้สำนวน "ตีงูให้หลังหัก" ในประโยค
- บริษัทคู่แข่งถูกฟ้องจนเสียหาย แต่ไม่ถึงกับล้มละลาย เหมือนตีงูให้หลังหัก ระวังเถอะ พวกเขาต้องหาทางกลับมาแข่งกับเราแน่
- การลงโทษผู้ร้ายแค่จำคุกไม่กี่ปีแล้วปล่อยออกมา เหมือนกับตีงูให้หลังหัก พอออกมาก็กลับมาก่อเรื่องซ้ำอีก
สรุปและทบทวนเรื่อง สำนวน สุภาษิต และคำพังเพย
สุภาษิต และคำพังเพย จัดเป็น "สำนวน" ด้วยกันทั้งคู่ เพราะมีความหมายในเชิงเปรียบเทียบ และเป็นถ้อยคำที่ใช้สืบเนื่องกันมานาน
สุภาษิต เป็นถ้อยคำที่มักใช้คำสั้น ๆ กะทัดรัดแต่มีความหมายลึกซึ้ง มีสัมผัสคล้องจอง ส่วนใหญ่สุภาษิตที่ใช้ในสังคมไทยมักมีที่มาจากคำสอนทางพุทธศาสนา
คำพังเพย เป็นถ้อยคำที่ให้ข้อคิด โดยกล่าวถึงพฤติกรรมหรือธรรมชาติรอบตัว ส่วนมากมักเป็นถ้อยคำที่เป็นข้อสรุปการกระทำหรือพฤติกรรมทั่วไป อาจมีที่มาจากนิทาน ตำนาน วรรณคดี