เรื่องไม่ดีที่ปรากฏเด่นชัดขึ้นมา เมื่อหมดอำนาจ หรือไม่ได้อยู่ในตำแหน่งหน้าที่ที่สามารถทำการปกปิดได้
ความชั่วเมื่อทำไว้ในเวลาที่ตนมีอำนาจนั้น อาจไม่มีใครทราบ แต่เมื่อหมดบุญ หมดอำนาจ บรรดาความชั่วที่ปิดบังกันไว้นั้น ก็จะปรากฏออกมา
ประเภทสำนวน
"น้ำลด ตอผุด" จัดว่าเป็น สำนวนไทย เพราะว่า เป็นวลีที่มีความหมายเฉพาะไม่สามารถแปลตรงตัวได้ ต้องตีความเป็นนัยพิเศษ ไม่ได้ให้ข้อคิดคำสอนโดยตรงหรือเปรียบเทียบชัดเจน แต่เป็นการอุปมาเชิงสัญลักษณ์ที่ต้องเข้าใจบริบทของวัฒนธรรมไทย
ที่มาและแนวคิดเบื้องหลัง
สำนวนนี้มีที่มาจากปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เมื่อน้ำลดลง ตอไม้ที่จมอยู่ใต้น้ำก็จะโผล่ขึ้นมาให้เห็น เปรียบเหมือนเมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไป ปัญหาหรือความจริงที่ซ่อนอยู่ก็จะปรากฏให้เห็น โดยเฉพาะในความหมายของการที่ความลับหรือสิ่งที่ไม่ดีที่ปิดบังไว้จะถูกเปิดเผยเมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไป
ตัวอย่างการใช้สำนวน "น้ำลด ตอผุด" ในประโยค
- หลังจากบริษัทประกาศลดพนักงาน ปัญหาการบริหารภายในก็เริ่มแสดงให้เห็น น้ำลด ตอผุด ให้เห็นว่าผู้บริหารขาดวิสัยทัศน์มานาน
- อย่าคิดว่าทุจริตแล้วจะรอดพ้นไปได้ตลอด เมื่อถึงเวลา น้ำลด ตอผุด ความจริงก็ต้องปรากฏสักวัน
- เมื่อเศรษฐกิจตกต่ำ น้ำลด ตอผุด ธุรกิจที่เคยดูมั่นคงหลายแห่งกลับพบว่ามีปัญหาหนี้สินซ่อนอยู่
สรุปและทบทวนเรื่อง สำนวน สุภาษิต และคำพังเพย
สุภาษิต และคำพังเพย จัดเป็น "สำนวน" ด้วยกันทั้งคู่ เพราะมีความหมายในเชิงเปรียบเทียบ และเป็นถ้อยคำที่ใช้สืบเนื่องกันมานาน
สุภาษิต เป็นถ้อยคำที่มักใช้คำสั้น ๆ กะทัดรัดแต่มีความหมายลึกซึ้ง มีสัมผัสคล้องจอง ส่วนใหญ่สุภาษิตที่ใช้ในสังคมไทยมักมีที่มาจากคำสอนทางพุทธศาสนา
คำพังเพย เป็นถ้อยคำที่ให้ข้อคิด โดยกล่าวถึงพฤติกรรมหรือธรรมชาติรอบตัว ส่วนมากมักเป็นถ้อยคำที่เป็นข้อสรุปการกระทำหรือพฤติกรรมทั่วไป อาจมีที่มาจากนิทาน ตำนาน วรรณคดี