เวลาที่โชคดี อะไร ๆ ก็มีผลปรากฎที่ดีไปทุกอย่าง
ในเวลาที่มีบุญวาสนา สติปัญญาก็ปลอดโปร่ง กำลังใจดี แม้จะเจ็บไข้ได้ป่วย ก็จะหายวันหายคืน คนที่ห่างเหินกันก็จะกลับมาดีด้วย เพราะเขาหวังว่าจะได้รับประโยชน์จากผู้มีวาสนานั้น และจะมีภาษิตต่อท้ายอีกว่า “บุญไม่มา ปัญญาไม่ช่วย ที่ป่วยก็หนัก ที่รักก็หน่าย” ซึ่งมีนัยตรงข้ามกัน
ประเภทสำนวน
"บุญมา ปัญญาช่วย ที่ป่วยก็หาย ที่หน่ายก็รัก" จัดว่าเป็น สุภาษิต เพราะว่า เป็นคำสอนโดยตรงที่ให้ข้อคิดเกี่ยวกับผลของบุญและปัญญา มีความหมายชัดเจน ไม่ต้องตีความเพิ่มเติม และให้แง่คิดที่เป็นคติสอนใจเกี่ยวกับอานิสงส์ของบุญกุศลและปัญญา
ที่มาและแนวคิดเบื้องหลัง
สุภาษิตนี้กล่าวถึงอานิสงส์หรือผลบุญที่เกิดจากการทำความดีและการมีปัญญา ซึ่งจะช่วยให้คนเราประสบแต่สิ่งดีๆ ในชีวิต ทั้งความเจ็บป่วยก็จะหาย ความรักที่จืดจางก็จะกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง สะท้อนความคิดเรื่องกฎแห่งกรรมและผลบุญในพุทธศาสนา
ตัวอย่างการใช้สำนวน "บุญมา ปัญญาช่วย ที่ป่วยก็หาย ที่หน่ายก็รัก" ในประโยค
- คุณยายบอกว่าตั้งแต่เริ่มทำบุญตักบาตรทุกวัน โรคประจำตัวหลายอย่างก็ดีขึ้น สมกับคำที่ว่า บุญมา ปัญญาช่วย ที่ป่วยก็หาย ที่หน่ายก็รัก
- สามีภรรยาคู่นี้เกือบจะเลิกกัน แต่พอมาบวชเรียนปฏิบัติธรรมด้วยกัน ความรักก็กลับมาสดใสอีกครั้ง จริงอย่างที่ว่า บุญมา ปัญญาช่วย ที่ป่วยก็หาย ที่หน่ายก็รัก
สรุปและทบทวนเรื่อง สำนวน สุภาษิต และคำพังเพย
สุภาษิต และคำพังเพย จัดเป็น "สำนวน" ด้วยกันทั้งคู่ เพราะมีความหมายในเชิงเปรียบเทียบ และเป็นถ้อยคำที่ใช้สืบเนื่องกันมานาน
สุภาษิต เป็นถ้อยคำที่มักใช้คำสั้น ๆ กะทัดรัดแต่มีความหมายลึกซึ้ง มีสัมผัสคล้องจอง ส่วนใหญ่สุภาษิตที่ใช้ในสังคมไทยมักมีที่มาจากคำสอนทางพุทธศาสนา
คำพังเพย เป็นถ้อยคำที่ให้ข้อคิด โดยกล่าวถึงพฤติกรรมหรือธรรมชาติรอบตัว ส่วนมากมักเป็นถ้อยคำที่เป็นข้อสรุปการกระทำหรือพฤติกรรมทั่วไป อาจมีที่มาจากนิทาน ตำนาน วรรณคดี