คนที่พลอยรับเคราะห์กรรมกับคนอื่น ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้มีส่วนพัวพัน
ปลาติดร่างแห ก็ว่า
ประเภทสำนวน
"ปลาติดหลังแห" จัดว่าเป็น คำพังเพย เพราะว่า เป็นข้อความเปรียบเทียบที่มีความหมายแฝง ต้องตีความเพิ่มเติม ไม่ใช่คำสอนโดยตรงเหมือนสุภาษิต และไม่ใช่วลีสั้นๆ ที่มีความหมายเฉพาะเหมือนสำนวนไทย
ที่มาและแนวคิดเบื้องหลัง
มาจากการเปรียบเทียบกับสภาพของปลาที่เข้าไปติดแหแล้ว แต่ไม่ได้ติดในตาแหโดยตรง เพียงแต่ติดอยู่ด้านหลังของแห ซึ่งยังมีโอกาสหลบหนีไปได้ง่ายกว่าปลาที่ติดในตาแห เปรียบกับคนที่มีความผิดหรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องไม่ดีแต่ยังไม่ถูกจับผิดชัดเจน จึงยังมีโอกาสหลบหนีหรือแก้ตัวได้
ตัวอย่างการใช้สำนวน "ปลาติดหลังแห" ในประโยค
- เขาเป็นแค่ปลาติดหลังแหในคดีนี้ ไม่ได้เป็นตัวการสำคัญ มีหลักฐานเกี่ยวข้องน้อย จึงมีโอกาสรอดคดีได้
- ทนายความของจำเลยพยายามต่อสู้คดีเต็มที่ เพราะเห็นว่าลูกความของเขาเป็นเพียงปลาติดหลังแหเท่านั้น ยังมีโอกาสพิสูจน์ความบริสุทธิ์ได้
สรุปและทบทวนเรื่อง สำนวน สุภาษิต และคำพังเพย
สุภาษิต และคำพังเพย จัดเป็น "สำนวน" ด้วยกันทั้งคู่ เพราะมีความหมายในเชิงเปรียบเทียบ และเป็นถ้อยคำที่ใช้สืบเนื่องกันมานาน
สุภาษิต เป็นถ้อยคำที่มักใช้คำสั้น ๆ กะทัดรัดแต่มีความหมายลึกซึ้ง มีสัมผัสคล้องจอง ส่วนใหญ่สุภาษิตที่ใช้ในสังคมไทยมักมีที่มาจากคำสอนทางพุทธศาสนา
คำพังเพย เป็นถ้อยคำที่ให้ข้อคิด โดยกล่าวถึงพฤติกรรมหรือธรรมชาติรอบตัว ส่วนมากมักเป็นถ้อยคำที่เป็นข้อสรุปการกระทำหรือพฤติกรรมทั่วไป อาจมีที่มาจากนิทาน ตำนาน วรรณคดี