จะทำอะไรก็ต้องตามใจผู้ที่จะได้รับผล
เหมือนปลูกเรือนต้องปลูกตามที่ผู้อยู่ต้องการ ไม่ใช่ตามที่ช่างต้องการ เพราะช่างหรือสถาปนิกไม่ใช้ผู้อาศัย ผูกอู่ก็คือผูกเปล ก็ต้องให้ถูกใจผู้นอน
ประเภทสำนวน
"ปลูกเรือนต้องตามใจผู้อยู่ ผูกอู่ต้องตามใจผู้นอน" จัดว่าเป็น สุภาษิต เพราะว่า เป็นคำสอนโดยตรงที่ให้ข้อคิดชัดเจนในการปฏิบัติต่อผู้อื่น โดยสอนให้คำนึงถึงความต้องการของผู้ที่เกี่ยวข้อง ข้อความมีความสมบูรณ์ในตัวเอง ไม่ต้องตีความเพิ่มเติมมาก เข้าใจได้ทันทีว่าเป็นคำสอนให้เห็นใจและคำนึงถึงความต้องการของคนอื่น
ที่มาและแนวคิดเบื้องหลัง
สุภาษิตนี้สอนให้คำนึงถึงความต้องการและความพึงพอใจของผู้ที่จะได้รับผลโดยตรงจากสิ่งที่เราทำ คำว่า 'ปลูกเรือน' หมายถึงการสร้างบ้าน 'ผูกอู่' หมายถึงการทำอู่หรือเปลสำหรับเด็กทารก สุภาษิตนี้แสดงภูมิปัญญาไทยที่เน้นการเอาใจเขามาใส่ใจเรา และการคำนึงถึงคนอื่นเป็นสำคัญ
ตัวอย่างการใช้สำนวน "ปลูกเรือนต้องตามใจผู้อยู่ ผูกอู่ต้องตามใจผู้นอน" ในประโยค
- การออกแบบสำนักงานใหม่ต้องคำนึงถึงความต้องการของพนักงานที่จะใช้งานจริง เพราะปลูกเรือนต้องตามใจผู้อยู่ ผูกอู่ต้องตามใจผู้นอน
- แม่เตือนพ่อเสมอเวลาที่เขาจะซื้อของขวัญให้ลูกว่า ปลูกเรือนต้องตามใจผู้อยู่ ผูกอู่ต้องตามใจผู้นอน ควรถามความต้องการของลูกก่อน
สรุปและทบทวนเรื่อง สำนวน สุภาษิต และคำพังเพย
สุภาษิต และคำพังเพย จัดเป็น "สำนวน" ด้วยกันทั้งคู่ เพราะมีความหมายในเชิงเปรียบเทียบ และเป็นถ้อยคำที่ใช้สืบเนื่องกันมานาน
สุภาษิต เป็นถ้อยคำที่มักใช้คำสั้น ๆ กะทัดรัดแต่มีความหมายลึกซึ้ง มีสัมผัสคล้องจอง ส่วนใหญ่สุภาษิตที่ใช้ในสังคมไทยมักมีที่มาจากคำสอนทางพุทธศาสนา
คำพังเพย เป็นถ้อยคำที่ให้ข้อคิด โดยกล่าวถึงพฤติกรรมหรือธรรมชาติรอบตัว ส่วนมากมักเป็นถ้อยคำที่เป็นข้อสรุปการกระทำหรือพฤติกรรมทั่วไป อาจมีที่มาจากนิทาน ตำนาน วรรณคดี