วัวถ้าไม่ผูกไว้ ก็อาจหายได้ ถ้าลูกดื้อ พ่อแม่ก็ต้องดุต้องตีบ้าง
แต่การที่พ่อแม่ตีไม่ใช่ตีด้วยความเกลียดชัง เพราะพ่อแม่ที่ตีนั้นก็ไม่อยากตี บางทีตีแล้วแอบไปร้องไห้ สงสารลูกก็มี แต่ถ้าไม่ตีเสียบ้าง ต่อไปถ้าลูกกลายเป็นคนชั่วช้าเลวทราม พ่อแม่จะต้องเสียน้ำตามากกว่านั้น
หากลูกทำผิดก็ควรอบรมสั่งสอน ดุด่าว่ากล่าว และลงโทษเมื่อกระทำความผิดตามสมควร
เวลาลูกทำผิดก็ควรอบรมสั่งสอนลูก และมีการลงโทษบางตามสมควร ซึ่งทั้งหมดที่ทำไปก็เพราะรักลูกอยากให้ลูกเป็นเด็กดี
ประเภทสำนวน
"รักวัวให้ผูกรักลูกให้ตี" จัดว่าเป็น สุภาษิต เพราะว่า เป็นคำสอนโดยตรงที่ให้ข้อคิดในการดูแลสิ่งที่รักอย่างถูกวิธี มีความชัดเจนในตัวเอง ให้คำแนะนำตรงไปตรงมาเกี่ยวกับการอบรมสั่งสอนบุตรและการดูแลสัตว์เลี้ยง จึงจัดเป็นสุภาษิตตามนิยามวิชาการ
ที่มาและแนวคิดเบื้องหลัง
สุภาษิตนี้สอนเรื่องการดูแลสิ่งที่รักให้ถูกวิธี โดยเปรียบเทียบระหว่างการดูแลวัวและการอบรมลูก หากรักวัวก็ต้องผูกไว้ให้ดีเพื่อไม่ให้วัวหลงทางหรือเกิดอันตราย ส่วนถ้ารักลูกก็ต้องอบรมสั่งสอน แม้บางครั้งต้องลงโทษบ้างเพื่อให้ลูกเติบโตเป็นคนดี ไม่เสียคน
ตัวอย่างการใช้สำนวน "รักวัวให้ผูกรักลูกให้ตี" ในประโยค
- พ่อแม่ยุคใหม่หลายคนไม่กล้าว่ากล่าวตักเตือนลูกเลย แต่ผู้ใหญ่สมัยก่อนมักยึดหลักรักวัวให้ผูกรักลูกให้ตี จึงทำให้ลูกหลานมีระเบียบวินัย
- คุณยายสอนเสมอว่า รักวัวให้ผูกรักลูกให้ตี ถ้าปล่อยให้ลูกทำอะไรตามใจโดยไม่มีการอบรมสั่งสอน ลูกจะเสียคนได้
สรุปและทบทวนเรื่อง สำนวน สุภาษิต และคำพังเพย
สุภาษิต และคำพังเพย จัดเป็น "สำนวน" ด้วยกันทั้งคู่ เพราะมีความหมายในเชิงเปรียบเทียบ และเป็นถ้อยคำที่ใช้สืบเนื่องกันมานาน
สุภาษิต เป็นถ้อยคำที่มักใช้คำสั้น ๆ กะทัดรัดแต่มีความหมายลึกซึ้ง มีสัมผัสคล้องจอง ส่วนใหญ่สุภาษิตที่ใช้ในสังคมไทยมักมีที่มาจากคำสอนทางพุทธศาสนา
คำพังเพย เป็นถ้อยคำที่ให้ข้อคิด โดยกล่าวถึงพฤติกรรมหรือธรรมชาติรอบตัว ส่วนมากมักเป็นถ้อยคำที่เป็นข้อสรุปการกระทำหรือพฤติกรรมทั่วไป อาจมีที่มาจากนิทาน ตำนาน วรรณคดี
ประเภทสำนวน
"รักวัวให้ผูกรักลูกให้ตี" จัดว่าเป็น สุภาษิต เพราะว่า เป็นข้อความที่เป็นคำสอนโดยตรง มีข้อคิดชัดเจนและเข้าใจได้ทันที เป็นประโยคสมบูรณ์ที่ให้หลักในการปฏิบัติ ไม่ต้องตีความเปรียบเทียบเพิ่มเติม
ที่มาและแนวคิดเบื้องหลัง
สุภาษิตนี้สอนเรื่องการแสดงความรักอย่างถูกวิธี เปรียบเทียบระหว่างวัวกับลูก โดยถ้ารักวัวก็ควรผูกไว้ไม่ให้เดินไปไหนมาไหนตามอำเภอใจ เพราะอาจเป็นอันตรายหรือทำความเดือดร้อน ส่วนถ้ารักลูกก็ควรอบรมสั่งสอนและลงโทษเมื่อทำผิด ไม่ตามใจจนเสียคน นับเป็นการสอนเรื่องวิธีการดูแลสิ่งที่รักอย่างถูกต้องตามลักษณะและความเหมาะสม
ตัวอย่างการใช้สำนวน "รักวัวให้ผูกรักลูกให้ตี" ในประโยค
- พ่อแม่ต้องยึดหลักรักวัวให้ผูกรักลูกให้ตี ไม่เช่นนั้นลูกจะเติบโตขึ้นเป็นคนขาดวินัย
- คุณยายมักสอนลูกหลานเสมอว่า รักวัวให้ผูกรักลูกให้ตี เพราะการตามใจมากเกินไปไม่ใช่ความรักที่แท้จริง
สรุปและทบทวนเรื่อง สำนวน สุภาษิต และคำพังเพย
สุภาษิต และคำพังเพย จัดเป็น "สำนวน" ด้วยกันทั้งคู่ เพราะมีความหมายในเชิงเปรียบเทียบ และเป็นถ้อยคำที่ใช้สืบเนื่องกันมานาน
สุภาษิต เป็นถ้อยคำที่มักใช้คำสั้น ๆ กะทัดรัดแต่มีความหมายลึกซึ้ง มีสัมผัสคล้องจอง ส่วนใหญ่สุภาษิตที่ใช้ในสังคมไทยมักมีที่มาจากคำสอนทางพุทธศาสนา
คำพังเพย เป็นถ้อยคำที่ให้ข้อคิด โดยกล่าวถึงพฤติกรรมหรือธรรมชาติรอบตัว ส่วนมากมักเป็นถ้อยคำที่เป็นข้อสรุปการกระทำหรือพฤติกรรมทั่วไป อาจมีที่มาจากนิทาน ตำนาน วรรณคดี
ประเภทสำนวน
"รักวัวให้ผูกรักลูกให้ตี" จัดว่าเป็น สุภาษิต เพราะว่า เป็นคำสอนที่ให้ข้อคิดโดยตรงเกี่ยวกับการเลี้ยงดูสัตว์เลี้ยงและบุตรหลาน มีความหมายชัดเจน เข้าใจได้ทันที และเป็นคำสอนที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม
ที่มาและแนวคิดเบื้องหลัง
สุภาษิตนี้สอนเรื่องการดูแลสิ่งที่เรารักอย่างถูกวิธี โดยใช้อุปมาเปรียบเทียบระหว่างวัวกับลูก เมื่อรักวัวควรผูกไว้ไม่ให้เดินไปไหนจนเป็นอันตราย ส่วนลูกหากรักต้องสั่งสอน อบรม ลงโทษเมื่อทำผิด ไม่ตามใจ เพื่อให้เติบโตเป็นคนดี มีระเบียบวินัย
ตัวอย่างการใช้สำนวน "รักวัวให้ผูกรักลูกให้ตี" ในประโยค
- พ่อแม่ยุคใหม่บางคนตามใจลูกมากเกินไป ไม่กล้าว่ากล่าวตักเตือน ลืมรักวัวให้ผูกรักลูกให้ตี เมื่อลูกทำผิดก็ต้องสั่งสอน
- ครูอธิบายให้ผู้ปกครองเข้าใจว่า การอบรมเด็กต้องรักวัวให้ผูกรักลูกให้ตี บางครั้งต้องเข้มงวดบ้างเพื่อประโยชน์ของเด็กในอนาคต
- ผมเชื่อในสุภาษิตรักวัวให้ผูกรักลูกให้ตี จึงไม่เคยปล่อยให้ลูกทำผิดโดยไม่อบรมสั่งสอน
สรุปและทบทวนเรื่อง สำนวน สุภาษิต และคำพังเพย
สุภาษิต และคำพังเพย จัดเป็น "สำนวน" ด้วยกันทั้งคู่ เพราะมีความหมายในเชิงเปรียบเทียบ และเป็นถ้อยคำที่ใช้สืบเนื่องกันมานาน
สุภาษิต เป็นถ้อยคำที่มักใช้คำสั้น ๆ กะทัดรัดแต่มีความหมายลึกซึ้ง มีสัมผัสคล้องจอง ส่วนใหญ่สุภาษิตที่ใช้ในสังคมไทยมักมีที่มาจากคำสอนทางพุทธศาสนา
คำพังเพย เป็นถ้อยคำที่ให้ข้อคิด โดยกล่าวถึงพฤติกรรมหรือธรรมชาติรอบตัว ส่วนมากมักเป็นถ้อยคำที่เป็นข้อสรุปการกระทำหรือพฤติกรรมทั่วไป อาจมีที่มาจากนิทาน ตำนาน วรรณคดี