ไม่มีอะไรเป็นเค้ามูลมาก่อนแล้ว ก็คงไม่มีเรื่องมีราวเกิดขึ้นเป็นแน่
ประเภทสำนวน
"ลมไม่พัด ใบไม้ไม่ไหว" จัดว่าเป็น สุภาษิต เพราะว่า เป็นคำสอนที่ให้ข้อคิดโดยตรง มีความหมายชัดเจนในตัวเอง เข้าใจได้ทันทีว่าเป็นการสอนเรื่องการเกิดเหตุผลสัมพันธ์กัน โดยไม่จำเป็นต้องตีความมากนัก
ที่มาและแนวคิดเบื้องหลัง
สุภาษิตนี้สื่อถึงหลักเหตุและผล หากไม่มีเหตุก็จะไม่เกิดผล เช่นเดียวกับที่ใบไม้จะไม่ไหวหากไม่มีลมพัด แสดงถึงความสัมพันธ์ของเหตุการณ์ที่ต้องมีที่มาที่ไป มักใช้เพื่อบอกว่าการกระทำหรือเหตุการณ์ใดๆ ย่อมมีสาเหตุ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นลอยๆ โดยไม่มีเหตุปัจจัย
ตัวอย่างการใช้สำนวน "ลมไม่พัด ใบไม้ไม่ไหว" ในประโยค
- ที่ลูกชายหัวปีเริ่มมีพฤติกรรมเกเร มันไม่ใช่เรื่องลมไม่พัด ใบไม้ไม่ไหว ต้องสืบหาให้ได้ว่าเขาไปคบเพื่อนกลุ่มไหน
- เรื่องลมไม่พัด ใบไม้ไม่ไหว ทุกอย่างย่อมมีเหตุ ดังนั้นถ้าไม่อยากให้เกิดปัญหา ก็ต้องกำจัดต้นเหตุของมันเสีย
- การทะเลาะกันของพวกเขาต้องมีสาเหตุแน่นอน ลมไม่พัด ใบไม้ไม่ไหว เราควรพูดคุยให้เข้าใจก่อนตัดสิน
สรุปและทบทวนเรื่อง สำนวน สุภาษิต และคำพังเพย
สุภาษิต และคำพังเพย จัดเป็น "สำนวน" ด้วยกันทั้งคู่ เพราะมีความหมายในเชิงเปรียบเทียบ และเป็นถ้อยคำที่ใช้สืบเนื่องกันมานาน
สุภาษิต เป็นถ้อยคำที่มักใช้คำสั้น ๆ กะทัดรัดแต่มีความหมายลึกซึ้ง มีสัมผัสคล้องจอง ส่วนใหญ่สุภาษิตที่ใช้ในสังคมไทยมักมีที่มาจากคำสอนทางพุทธศาสนา
คำพังเพย เป็นถ้อยคำที่ให้ข้อคิด โดยกล่าวถึงพฤติกรรมหรือธรรมชาติรอบตัว ส่วนมากมักเป็นถ้อยคำที่เป็นข้อสรุปการกระทำหรือพฤติกรรมทั่วไป อาจมีที่มาจากนิทาน ตำนาน วรรณคดี