คนที่มีความผิดติดตัว มักจะมีพิรุธ มีอาการหวาดระแวงอยู่เสมอ กลัวคนอื่นจะรู้
เหมือนวัวสันหลังหวะเป็นแผล พอเห็นกาบินมาก็หวาดกลัว เกรงว่ากาจะโฉบลงมาจิกที่แผลนั้น บางทีก็พูดว่า “วัวสันหลังหวะ”
มักใช้แบบ วัวสันหลังขาด
ประเภทสำนวน
"วัวสันหลังขาด เห็นกาบินผาดก็ตกใจ" จัดว่าเป็น คำพังเพย เพราะว่า เป็นข้อความเปรียบเทียบที่มีความหมายแฝง ต้องตีความเพิ่มเติม โดยเปรียบพฤติกรรมของวัวที่บาดเจ็บกับคนที่เคยมีประสบการณ์เลวร้าย ซึ่งไม่ใช่คำสอนโดยตรงเหมือนสุภาษิต แต่เป็นการเปรียบเปรยให้เห็นภาพ
ที่มาและแนวคิดเบื้องหลัง
สำนวนนี้มาจากลักษณะของวัวที่เคยถูกนกกาจิกแผลที่หลัง ทำให้เจ็บปวด จึงเกิดความหวาดระแวงและตกใจทุกครั้งเมื่อเห็นนกกาบินผ่าน เปรียบเทียบถึงคนที่เคยได้รับความเจ็บปวดหรือประสบการณ์เลวร้ายมาก่อน จึงกลายเป็นคนขี้ระแวง หวาดกลัวต่อสิ่งที่คล้ายคลึงกับสาเหตุที่ทำให้ตนเจ็บปวดในอดีต แม้สิ่งนั้นอาจไม่ได้เป็นอันตรายจริง
ตัวอย่างการใช้สำนวน "วัวสันหลังขาด เห็นกาบินผาดก็ตกใจ" ในประโยค
- หลังจากถูกหลอกลงทุนจนหมดตัว ตอนนี้เขาเหมือนวัวสันหลังขาด เห็นกาบินผาดก็ตกใจ ใครชวนลงทุนอะไรก็ไม่กล้าเข้าไปยุ่งเลย
- เธอไม่ไว้ใจผู้ชายเลยหลังจากความสัมพันธ์ครั้งก่อน เหมือนวัวสันหลังขาด เห็นกาบินผาดก็ตกใจ มีคนเข้ามาจีบก็ปฏิเสธไปหมด
สรุปและทบทวนเรื่อง สำนวน สุภาษิต และคำพังเพย
สุภาษิต และคำพังเพย จัดเป็น "สำนวน" ด้วยกันทั้งคู่ เพราะมีความหมายในเชิงเปรียบเทียบ และเป็นถ้อยคำที่ใช้สืบเนื่องกันมานาน
สุภาษิต เป็นถ้อยคำที่มักใช้คำสั้น ๆ กะทัดรัดแต่มีความหมายลึกซึ้ง มีสัมผัสคล้องจอง ส่วนใหญ่สุภาษิตที่ใช้ในสังคมไทยมักมีที่มาจากคำสอนทางพุทธศาสนา
คำพังเพย เป็นถ้อยคำที่ให้ข้อคิด โดยกล่าวถึงพฤติกรรมหรือธรรมชาติรอบตัว ส่วนมากมักเป็นถ้อยคำที่เป็นข้อสรุปการกระทำหรือพฤติกรรมทั่วไป อาจมีที่มาจากนิทาน ตำนาน วรรณคดี