คนที่ทำตัวเข้าทั้ง 2 ฝ่ายที่เป็นศัตรูกัน โดยหวังประโยชน์เพื่อตน
ประเภทสำนวน
"หมาสองราง" จัดว่าเป็น คำพังเพย เพราะว่า เป็นถ้อยคำที่มีลักษณะเปรียบเทียบพฤติกรรมไปยังสิ่งอื่น (หมาที่กินอาหารสองที่) เพื่อสื่อความหมายแฝงเกี่ยวกับพฤติกรรมคน ไม่ใช่คำสอนโดยตรงแบบสุภาษิต และต้องตีความจึงจะเข้าใจความหมายที่แท้จริง
ที่มาและแนวคิดเบื้องหลัง
คำพังเพยนี้มาจากพฤติกรรมของสุนัขที่ไม่ซื่อสัตย์ต่อเจ้าของเพียงคนเดียว แต่ไปหากินหรือเข้าหาหลายคนเพื่อผลประโยชน์ของตน เปรียบเทียบถึงคนที่ไม่จงรักภักดีหรือไม่ซื่อสัตย์ต่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่เข้าข้างหรือรับผลประโยชน์จากทั้งสองฝ่าย
ตัวอย่างการใช้สำนวน "หมาสองราง" ในประโยค
- นักการเมืองคนนั้นเป็นหมาสองราง ช่วงเลือกตั้งก็บอกว่าอยู่พรรคนี้ แต่พอมีข่าวว่าพรรคอื่นจะได้จัดตั้งรัฐบาล ก็รีบวิ่งไปหาเพื่อเตรียมย้ายพรรค
- ฉันจะไม่คบกับคนที่เป็นหมาสองราง ที่พูดลับหลังฉันไม่ดี แต่พอเจอหน้าก็ทำเป็นเพื่อนสนิท
- พนักงานคนนั้นเป็นหมาสองราง ทำงานให้บริษัทเราแต่ส่งข้อมูลลับให้คู่แข่งตลอด
สรุปและทบทวนเรื่อง สำนวน สุภาษิต และคำพังเพย
สุภาษิต และคำพังเพย จัดเป็น "สำนวน" ด้วยกันทั้งคู่ เพราะมีความหมายในเชิงเปรียบเทียบ และเป็นถ้อยคำที่ใช้สืบเนื่องกันมานาน
สุภาษิต เป็นถ้อยคำที่มักใช้คำสั้น ๆ กะทัดรัดแต่มีความหมายลึกซึ้ง มีสัมผัสคล้องจอง ส่วนใหญ่สุภาษิตที่ใช้ในสังคมไทยมักมีที่มาจากคำสอนทางพุทธศาสนา
คำพังเพย เป็นถ้อยคำที่ให้ข้อคิด โดยกล่าวถึงพฤติกรรมหรือธรรมชาติรอบตัว ส่วนมากมักเป็นถ้อยคำที่เป็นข้อสรุปการกระทำหรือพฤติกรรมทั่วไป อาจมีที่มาจากนิทาน ตำนาน วรรณคดี