เมื่ออยู่บ้านใคร อย่าอยู่เปล่า ควรทำการทำงานช่วยเหลือเขาเท่าที่จะทำได้
แม้เพียงเอาดินเหนียวมาปั้นวัวปั้นควายให้ลูกเจ้าของบ้านเล่นก็ยังดี เขาจะได้เมตตาสงสาร
ประเภทสำนวน
"อยู่บ้านท่านอย่านิ่งดูดาย ปั้นวัวปั้นควายให้ลูกท่านเล่น" จัดว่าเป็น สุภาษิต เพราะว่า เป็นคำสอนโดยตรงที่ให้ข้อคิดเกี่ยวกับมารยาทในสังคม ประโยคมีความสมบูรณ์ในตัวเอง สื่อความหมายชัดเจนว่าควรทำอย่างไร โดยไม่ต้องตีความเพิ่มเติม
ที่มาและแนวคิดเบื้องหลัง
สุภาษิตนี้สอนเรื่องความกตัญญูและการตอบแทนบุญคุณ เมื่อไปอาศัยบ้านผู้อื่น ไม่ควรอยู่เฉยๆ ควรช่วยเหลืองานบ้านหรือทำประโยชน์ให้เจ้าของบ้าน แม้กระทั่งการปั้นของเล่นให้ลูกเจ้าของบ้าน ซึ่งเป็นการสอนให้รู้จักสร้างความสัมพันธ์อันดีและการแสดงน้ำใจต่อผู้มีพระคุณ
ตัวอย่างการใช้สำนวน "อยู่บ้านท่านอย่านิ่งดูดาย ปั้นวัวปั้นควายให้ลูกท่านเล่น" ในประโยค
- พี่เลี้ยงเด็กที่ดีต้องยึดหลัก อยู่บ้านท่านอย่านิ่งดูดาย ปั้นวัวปั้นควายให้ลูกท่านเล่น คอยช่วยเหลืองานบ้านนอกเหนือจากการดูแลเด็ก
- แม่สอนลูกเสมอว่า อยู่บ้านท่านอย่านิ่งดูดาย ปั้นวัวปั้นควายให้ลูกท่านเล่น เพราะเป็นมารยาทที่ดีที่ควรปฏิบัติเมื่อไปพักอาศัยบ้านผู้อื่น
สรุปและทบทวนเรื่อง สำนวน สุภาษิต และคำพังเพย
สุภาษิต และคำพังเพย จัดเป็น "สำนวน" ด้วยกันทั้งคู่ เพราะมีความหมายในเชิงเปรียบเทียบ และเป็นถ้อยคำที่ใช้สืบเนื่องกันมานาน
สุภาษิต เป็นถ้อยคำที่มักใช้คำสั้น ๆ กะทัดรัดแต่มีความหมายลึกซึ้ง มีสัมผัสคล้องจอง ส่วนใหญ่สุภาษิตที่ใช้ในสังคมไทยมักมีที่มาจากคำสอนทางพุทธศาสนา
คำพังเพย เป็นถ้อยคำที่ให้ข้อคิด โดยกล่าวถึงพฤติกรรมหรือธรรมชาติรอบตัว ส่วนมากมักเป็นถ้อยคำที่เป็นข้อสรุปการกระทำหรือพฤติกรรมทั่วไป อาจมีที่มาจากนิทาน ตำนาน วรรณคดี