อย่าบังคับขืนใจผู้อื่นให้ทำตามใจตน
ประเภทสำนวน
"อย่าข่มเขาโคขืนให้กินหญ้า" จัดว่าเป็น สุภาษิต เพราะว่า เป็นคำสอนโดยตรงที่มีความหมายชัดเจน มีลักษณะของการให้ข้อคิดและเตือนใจให้ไม่บังคับผู้อื่นให้ทำในสิ่งที่เขาไม่ต้องการหรือไม่ถนัด เป็นประโยคสมบูรณ์ที่ให้ข้อคิดตามทำนองคลองธรรม
ที่มาและแนวคิดเบื้องหลัง
สุภาษิตนี้มีที่มาจากภาพของวัวหรือควายซึ่งไม่ชอบกินหญ้า (ความจริงวัวควายกินหญ้าเป็นอาหารหลัก) แต่สุภาษิตนี้สมมติว่าวัวควายไม่ชอบกิน แล้วมีคนพยายามบังคับให้มันกิน ซึ่งเป็นเรื่องที่ฝืนธรรมชาติและลำบากทั้งผู้บังคับและผู้ถูกบังคับ สะท้อนแนวคิดเรื่องการเคารพความแตกต่างระหว่างบุคคล
ตัวอย่างการใช้สำนวน "อย่าข่มเขาโคขืนให้กินหญ้า" ในประโยค
- พ่อแม่ไม่ควรข่มเขาโคขืนให้กินหญ้า ด้วยการบังคับลูกให้เรียนสายวิทยาศาสตร์ทั้งที่ลูกถนัดทางศิลปะมากกว่า
- หัวหน้าควรรู้จักมอบหมายงานให้เหมาะกับความถนัดของพนักงานแต่ละคน อย่าข่มเขาโคขืนให้กินหญ้า มันจะทำให้งานออกมาไม่ดีและทุกคนเครียด
สรุปและทบทวนเรื่อง สำนวน สุภาษิต และคำพังเพย
สุภาษิต และคำพังเพย จัดเป็น "สำนวน" ด้วยกันทั้งคู่ เพราะมีความหมายในเชิงเปรียบเทียบ และเป็นถ้อยคำที่ใช้สืบเนื่องกันมานาน
สุภาษิต เป็นถ้อยคำที่มักใช้คำสั้น ๆ กะทัดรัดแต่มีความหมายลึกซึ้ง มีสัมผัสคล้องจอง ส่วนใหญ่สุภาษิตที่ใช้ในสังคมไทยมักมีที่มาจากคำสอนทางพุทธศาสนา
คำพังเพย เป็นถ้อยคำที่ให้ข้อคิด โดยกล่าวถึงพฤติกรรมหรือธรรมชาติรอบตัว ส่วนมากมักเป็นถ้อยคำที่เป็นข้อสรุปการกระทำหรือพฤติกรรมทั่วไป อาจมีที่มาจากนิทาน ตำนาน วรรณคดี