คืออย่าไปสอนผู้รู้ เพราะเขารู้อยู่แล้ว
เหมือนกับกระรอกมันย่อมรู้จักโพรงของมัน ไม่ต้องไปชี้บอกกับมันหรอก
ประเภทสำนวน
"อย่าชี้โพรงให้กระรอก" จัดว่าเป็น คำพังเพย เพราะว่า เป็นคำพังเพยเพราะมีลักษณะเปรียบเปรยถึงการให้ข้อมูลหรือความรู้แก่ผู้ที่อาจนำไปใช้ในทางที่ไม่ดี เป็นการกล่าวเปรียบเทียบที่ต้องตีความเพิ่มเติม ไม่ใช่คำสอนโดยตรงแบบสุภาษิต และไม่ใช่วลีที่มีความหมายพิเศษแบบสำนวนไทยทั่วไป
ที่มาและแนวคิดเบื้องหลัง
คำพังเพยนี้หมายถึงการห้ามบอกวิธีการหรือเปิดเผยช่องทางให้ผู้ไม่หวังดี หรือคนที่อาจจะมีเจตนาร้าย เพราะจะเป็นการเปิดโอกาสให้เขาทำสิ่งไม่ดีได้ง่ายขึ้น เหมือนการชี้โพรงให้กระรอกที่ดูเหมือนจะช่วย แต่กลับกลายเป็นการเปิดทางให้สัตว์มาทำความเสียหายหรือบุกรุกพื้นที่
ตัวอย่างการใช้สำนวน "อย่าชี้โพรงให้กระรอก" ในประโยค
- เธออย่าเล่าให้เขาฟังว่าเงินเก็บอยู่ที่ไหน เหมือนกับอย่าชี้โพรงให้กระรอก เพราะเขาเคยมีประวัติขโมยของมาก่อน
- ผู้บังคับบัญชาเตือนว่า อย่าชี้โพรงให้กระรอก ด้วยการเปิดเผยจุดอ่อนของระบบรักษาความปลอดภัยให้บุคคลภายนอกรู้
- การบอกช่องโหว่ในระบบคอมพิวเตอร์ให้คนที่ไม่น่าไว้ใจรู้ ก็เหมือนกับการชี้โพรงให้กระรอกนั่นเอง
สรุปและทบทวนเรื่อง สำนวน สุภาษิต และคำพังเพย
สุภาษิต และคำพังเพย จัดเป็น "สำนวน" ด้วยกันทั้งคู่ เพราะมีความหมายในเชิงเปรียบเทียบ และเป็นถ้อยคำที่ใช้สืบเนื่องกันมานาน
สุภาษิต เป็นถ้อยคำที่มักใช้คำสั้น ๆ กะทัดรัดแต่มีความหมายลึกซึ้ง มีสัมผัสคล้องจอง ส่วนใหญ่สุภาษิตที่ใช้ในสังคมไทยมักมีที่มาจากคำสอนทางพุทธศาสนา
คำพังเพย เป็นถ้อยคำที่ให้ข้อคิด โดยกล่าวถึงพฤติกรรมหรือธรรมชาติรอบตัว ส่วนมากมักเป็นถ้อยคำที่เป็นข้อสรุปการกระทำหรือพฤติกรรมทั่วไป อาจมีที่มาจากนิทาน ตำนาน วรรณคดี