อย่ารื้อเอาเรื่องเก่า ๆ ที่ล่วงเลยไปแล้วขึ้นมาพูดให้สะเทือนใจกัน
ฝอย ในที่นี้หมายถึง มูลฝอย กุมฝอย ตะเข็บ คล้ายตะขาบ แต่ตัวเล็กกว่ามาก ชอบอยู่ตามกุมฝอย
ประเภทสำนวน
"อย่าฟื้นฝอยหาตะเข็บ" จัดว่าเป็น สุภาษิต เพราะว่า เป็นข้อความที่มีลักษณะเป็นคำสอนหรือข้อเตือนใจโดยตรง ใช้รูปประโยคที่สื่อถึงการห้ามหรือแนะนำไม่ให้กระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง (อย่า...) และมีความหมายสมบูรณ์ในตัวเอง สามารถเข้าใจได้ทันทีว่าเป็นการสอนไม่ให้รื้อฟื้นเรื่องเก่าขึ้นมาพิจารณาใหม่โดยไม่จำเป็น
ที่มาและแนวคิดเบื้องหลัง
สำนวนนี้มีที่มาจากการเย็บผ้า โดย 'ฝอย' คือเศษด้ายหรือเส้นใยผ้าที่หลุดลุ่ย ส่วน 'ตะเข็บ' คือรอยเย็บผ้า การ 'ฟื้นฝอยหาตะเข็บ' จึงเปรียบเสมือนการรื้อเอาเศษผ้าที่หลุดลุ่ยมาตรวจสอบดูว่ามาจากตะเข็บตรงไหน ซึ่งเป็นการกระทำที่เสียเวลาและไม่มีประโยชน์ สำนวนนี้จึงใช้สอนไม่ให้นำเรื่องเก่าที่จบไปแล้วมารื้อฟื้นขึ้นมาพิจารณาใหม่ เพราะอาจทำให้เกิดปัญหาหรือความขัดแย้งขึ้นอีก
ตัวอย่างการใช้สำนวน "อย่าฟื้นฝอยหาตะเข็บ" ในประโยค
- พวกเราเพิ่งคืนดีกัน อย่าฟื้นฝอยหาตะเข็บด้วยการพูดถึงเรื่องทะเลาะกันเมื่อเดือนที่แล้วอีกเลย
- เรื่องนี้เราตกลงกันเรียบร้อยแล้ว อย่าฟื้นฝอยหาตะเข็บ มาพูดอีกเลย มันจะทำให้ทุกคนไม่สบายใจกันอีกรอบ
สรุปและทบทวนเรื่อง สำนวน สุภาษิต และคำพังเพย
สุภาษิต และคำพังเพย จัดเป็น "สำนวน" ด้วยกันทั้งคู่ เพราะมีความหมายในเชิงเปรียบเทียบ และเป็นถ้อยคำที่ใช้สืบเนื่องกันมานาน
สุภาษิต เป็นถ้อยคำที่มักใช้คำสั้น ๆ กะทัดรัดแต่มีความหมายลึกซึ้ง มีสัมผัสคล้องจอง ส่วนใหญ่สุภาษิตที่ใช้ในสังคมไทยมักมีที่มาจากคำสอนทางพุทธศาสนา
คำพังเพย เป็นถ้อยคำที่ให้ข้อคิด โดยกล่าวถึงพฤติกรรมหรือธรรมชาติรอบตัว ส่วนมากมักเป็นถ้อยคำที่เป็นข้อสรุปการกระทำหรือพฤติกรรมทั่วไป อาจมีที่มาจากนิทาน ตำนาน วรรณคดี