อย่าเอาลูกโจรหรือลูกคนชั่วคนเลวมาเลี้ยง เพราะอาจสร้างความลำบากเดือดร้อนให้แก่ผู้เลี้ยงก็ได้
ประเภทสำนวน
"อย่าเลี้ยงลูกเสือลูกจระเข้" จัดว่าเป็น สุภาษิต เพราะว่า เป็นข้อความที่ให้คำสอนหรือคำเตือนโดยตรง ชัดเจน เข้าใจได้ทันทีว่าไม่ควรอุปการะหรือช่วยเหลือคนที่มีนิสัยอันตราย มีลักษณะเป็นคำสอนที่สมบูรณ์ในตัวเอง และให้ข้อคิดเตือนใจที่ชัดเจน
ที่มาและแนวคิดเบื้องหลัง
สำนวนนี้เตือนว่าไม่ควรเลี้ยงดู ช่วยเหลือ หรืออุปการะคนที่มีสันดานไม่ดี มีนิสัยอันตราย เพราะสุดท้ายอาจจะย้อนกลับมาทำร้ายหรือเป็นอันตรายต่อผู้มีพระคุณ เปรียบเหมือนเลี้ยงลูกเสือหรือลูกจระเข้ ซึ่งเมื่อเติบโตขึ้นย่อมมีสัญชาตญาณของสัตว์ร้ายที่อาจทำร้ายแม้แต่ผู้เลี้ยงดู เพราะธรรมชาติและสันดานของสัตว์ร้ายไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ง่าย
ตัวอย่างการใช้สำนวน "อย่าเลี้ยงลูกเสือลูกจระเข้" ในประโยค
- ฉันเตือนเขาแล้วว่าอย่าเลี้ยงลูกเสือลูกจระเข้ แต่เขาก็ยังรับเด็กที่มีประวัติเกเรมาอุปการะ สุดท้ายก็ถูกขโมยทรัพย์สินไปหมด
- คนเราควรช่วยเหลือกัน แต่ก็ต้องระวัง อย่าเลี้ยงลูกเสือลูกจระเข้ เพราะบางคนไม่สำนึกในบุญคุณ
สรุปและทบทวนเรื่อง สำนวน สุภาษิต และคำพังเพย
สุภาษิต และคำพังเพย จัดเป็น "สำนวน" ด้วยกันทั้งคู่ เพราะมีความหมายในเชิงเปรียบเทียบ และเป็นถ้อยคำที่ใช้สืบเนื่องกันมานาน
สุภาษิต เป็นถ้อยคำที่มักใช้คำสั้น ๆ กะทัดรัดแต่มีความหมายลึกซึ้ง มีสัมผัสคล้องจอง ส่วนใหญ่สุภาษิตที่ใช้ในสังคมไทยมักมีที่มาจากคำสอนทางพุทธศาสนา
คำพังเพย เป็นถ้อยคำที่ให้ข้อคิด โดยกล่าวถึงพฤติกรรมหรือธรรมชาติรอบตัว ส่วนมากมักเป็นถ้อยคำที่เป็นข้อสรุปการกระทำหรือพฤติกรรมทั่วไป อาจมีที่มาจากนิทาน ตำนาน วรรณคดี