อย่าเอาของคนอื่นมาชื่นชมยินดี
ประเภทสำนวน
"อย่าเอาลูกเขามาเลี้ยง อย่าเอาเมี่ยงเขามาอม" จัดว่าเป็น สุภาษิต เพราะว่า เป็นข้อความที่ให้คำสอนหรือคำเตือนโดยตรง มีความชัดเจนในตัวเอง สอนให้ไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของคนอื่น เป็นประโยคสมบูรณ์ที่สื่อข้อคิดอันเป็นคติธรรมหรือคำเตือนที่ฟังแล้วเข้าใจได้ทันที
ที่มาและแนวคิดเบื้องหลัง
สุภาษิตนี้สอนให้รู้จักรักษาขอบเขตและไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของผู้อื่นโดยไม่จำเป็น 'ลูก' เปรียบเหมือนความรับผิดชอบหรือภาระของคนอื่น ส่วน 'เมี่ยง' หมายถึง ใบชาหรือใบพลูที่ม้วนใส่เครื่องปรุงไว้อม ซึ่งเป็นของส่วนตัวที่ใช้ปากสัมผัส การอมเมี่ยงของคนอื่นจึงไม่เหมาะสมทั้งในแง่สุขอนามัยและมารยาท สุภาษิตนี้จึงสอนให้ไม่ก้าวก่ายหรือแทรกแซงในเรื่องส่วนตัวของผู้อื่น
ตัวอย่างการใช้สำนวน "อย่าเอาลูกเขามาเลี้ยง อย่าเอาเมี่ยงเขามาอม" ในประโยค
- เธอจะไปยุ่งกับเรื่องทะเลาะเบาะแว้งระหว่างสามีภรรยาคู่นั้นทำไม อย่าเอาลูกเขามาเลี้ยง อย่าเอาเมี่ยงเขามาอม เดี๋ยวจะเดือดร้อนตัวเอง
- ฉันเตือนเธอแล้วนะว่า อย่าเอาลูกเขามาเลี้ยง อย่าเอาเมี่ยงเขามาอม นี่ไงล่ะ ตอนนี้เลยต้องมานั่งแก้ปัญหาแทนเขา
สรุปและทบทวนเรื่อง สำนวน สุภาษิต และคำพังเพย
สุภาษิต และคำพังเพย จัดเป็น "สำนวน" ด้วยกันทั้งคู่ เพราะมีความหมายในเชิงเปรียบเทียบ และเป็นถ้อยคำที่ใช้สืบเนื่องกันมานาน
สุภาษิต เป็นถ้อยคำที่มักใช้คำสั้น ๆ กะทัดรัดแต่มีความหมายลึกซึ้ง มีสัมผัสคล้องจอง ส่วนใหญ่สุภาษิตที่ใช้ในสังคมไทยมักมีที่มาจากคำสอนทางพุทธศาสนา
คำพังเพย เป็นถ้อยคำที่ให้ข้อคิด โดยกล่าวถึงพฤติกรรมหรือธรรมชาติรอบตัว ส่วนมากมักเป็นถ้อยคำที่เป็นข้อสรุปการกระทำหรือพฤติกรรมทั่วไป อาจมีที่มาจากนิทาน ตำนาน วรรณคดี