ทั้ง ๆ ที่ตนไม่มีส่วนได้เป็นผลประโยชน์กับเขาเลย แต่ก็พลอยเข้าไปพัวพันในเรื่องร้าย ทำให้ต้องพลอยรับบาปรับเคราะห์เสียหายไปกับเขาด้วย
ประเภทสำนวน
"เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่รองนั่ง เอากระดูกมาแขวนคอ" จัดว่าเป็น คำพังเพย เพราะว่า เป็นถ้อยคำเปรียบเปรยที่มีความหมายแฝง ไม่สามารถเข้าใจได้โดยตรงจากถ้อยคำ ต้องตีความเพิ่มเติม เปรียบเทียบถึงพฤติกรรมหรือสถานการณ์ที่ไม่ได้ประโยชน์แต่กลับต้องรับภาระ
ที่มาและแนวคิดเบื้องหลัง
สำนวนนี้เปรียบเปรยถึงการที่ไม่ได้รับผลประโยชน์อะไรจากเรื่องหนึ่ง แต่กลับต้องเข้าไปรับภาระหรือรับความเดือดร้อนแทน โดยเปรียบเทียบว่าเหมือนกับไม่ได้กินเนื้อสัตว์ที่มีราคาและรสชาติดี ไม่ได้เอาหนังมาใช้ประโยชน์ แต่กลับต้องรับเอากระดูกซึ่งไม่มีค่ามาแขวนคอ ซึ่งหมายถึงต้องแบกรับภาระหรือความยุ่งยาก
ตัวอย่างการใช้สำนวน "เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่รองนั่ง เอากระดูกมาแขวนคอ" ในประโยค
- แทนที่จะได้กำไรจากการลงทุนครั้งนี้ แต่กลับขาดทุนย่อยยับ เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่รองนั่ง เอากระดูกมาแขวนคอ จริงๆ
- ฉันไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับปัญหาของพวกเขาหรอก เดี๋ยวจะกลายเป็นเนื้อไม่ได้กิน หนังไม่รองนั่ง เอากระดูกมาแขวนคอ
สรุปและทบทวนเรื่อง สำนวน สุภาษิต และคำพังเพย
สุภาษิต และคำพังเพย จัดเป็น "สำนวน" ด้วยกันทั้งคู่ เพราะมีความหมายในเชิงเปรียบเทียบ และเป็นถ้อยคำที่ใช้สืบเนื่องกันมานาน
สุภาษิต เป็นถ้อยคำที่มักใช้คำสั้น ๆ กะทัดรัดแต่มีความหมายลึกซึ้ง มีสัมผัสคล้องจอง ส่วนใหญ่สุภาษิตที่ใช้ในสังคมไทยมักมีที่มาจากคำสอนทางพุทธศาสนา
คำพังเพย เป็นถ้อยคำที่ให้ข้อคิด โดยกล่าวถึงพฤติกรรมหรือธรรมชาติรอบตัว ส่วนมากมักเป็นถ้อยคำที่เป็นข้อสรุปการกระทำหรือพฤติกรรมทั่วไป อาจมีที่มาจากนิทาน ตำนาน วรรณคดี