การให้อภัย คือการยุติความบาดหมางทั้งปวง ไม่จองเวรจองกรรมกัน เวรกรรมก็จะไม่เกิดขึ้นใหม่
ประเภทสำนวน
"เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร" จัดว่าเป็น สุภาษิต เพราะว่า เป็นคำสอนโดยตรงที่ให้ข้อคิดสำคัญ มีความชัดเจนในตัวเอง ไม่ต้องตีความเพิ่มเติม เข้าใจได้ทันทีว่าเป็นการสอนให้ไม่ตอบแทนความชั่วด้วยความชั่ว สอดคล้องกับคำสอนทางพระพุทธศาสนา
ที่มาและแนวคิดเบื้องหลัง
สุภาษิตนี้มาจากหลักคำสอนในพระพุทธศาสนา แสดงหลักการว่าการจองเวรหรือการแก้แค้นจะไม่ทำให้เวรนั้นสิ้นสุดลง แต่จะเป็นการต่อเวรให้ยาวนานออกไป การยุติความพยาบาทและการแก้แค้นเท่านั้นที่จะทำให้วัฏจักรของความเกลียดชังและการทำร้ายกันสิ้นสุดลงได้
ตัวอย่างการใช้สำนวน "เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร" ในประโยค
- พระสอนเด็กๆ ว่า 'เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร' เมื่อเพื่อนทำร้ายหรือแกล้งเรา การไม่โต้ตอบคือทางออกที่ดีที่สุด
- หลังจากเกิดความขัดแย้งระหว่างสองตระกูล ผู้อาวุโสได้เตือนสติทุกคนว่า 'เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร' หากยังตอบโต้กันไม่มีที่สิ้นสุด
สรุปและทบทวนเรื่อง สำนวน สุภาษิต และคำพังเพย
สุภาษิต และคำพังเพย จัดเป็น "สำนวน" ด้วยกันทั้งคู่ เพราะมีความหมายในเชิงเปรียบเทียบ และเป็นถ้อยคำที่ใช้สืบเนื่องกันมานาน
สุภาษิต เป็นถ้อยคำที่มักใช้คำสั้น ๆ กะทัดรัดแต่มีความหมายลึกซึ้ง มีสัมผัสคล้องจอง ส่วนใหญ่สุภาษิตที่ใช้ในสังคมไทยมักมีที่มาจากคำสอนทางพุทธศาสนา
คำพังเพย เป็นถ้อยคำที่ให้ข้อคิด โดยกล่าวถึงพฤติกรรมหรือธรรมชาติรอบตัว ส่วนมากมักเป็นถ้อยคำที่เป็นข้อสรุปการกระทำหรือพฤติกรรมทั่วไป อาจมีที่มาจากนิทาน ตำนาน วรรณคดี