ต่างฝ่ายต่างรู้ความลับของกันและกัน
ประเภทสำนวน
"ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่" จัดว่าเป็น คำพังเพย เพราะว่า เป็นถ้อยคำเปรียบเทียบที่มีความหมายแฝง ไม่ได้เป็นคำสอนโดยตรง แต่เป็นการเปรียบเปรยถึงลักษณะการที่ต่างฝ่ายต่างรู้ความลับของกันและกัน
ที่มาและแนวคิดเบื้องหลัง
สำนวนนี้มาจากความคิดที่ว่า ไก่รู้ความลับของงูคือเห็นตีนของงู (ซึ่งตามความเชื่อโบราณ งูมีตีนที่ซ่อนไว้ แต่ความจริงงูไม่มีตีน) ในขณะที่งูก็รู้ความลับของไก่คือเห็นนมของไก่ (ซึ่งไก่ไม่มีนม) เป็นการเปรียบเปรยถึงสถานการณ์ที่ต่างฝ่ายต่างรู้ความลับ ข้อเสียหรือจุดอ่อนของกันและกัน จึงไม่กล้าเปิดเผยความลับของอีกฝ่าย เพราะกลัวอีกฝ่ายจะเปิดเผยความลับของตนเช่นกัน
ตัวอย่างการใช้สำนวน "ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่" ในประโยค
- สองบริษัทนี้ต่างก็มีเรื่องผิดกฎหมายเหมือนกัน จึงไม่มีใครกล้าฟ้องร้องกัน เป็นแบบไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่
- เธอกับฉันต่างก็รู้ความลับของกันและกัน เป็นไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่ จะมาเปิดโปงกันก็ไม่ได้
สรุปและทบทวนเรื่อง สำนวน สุภาษิต และคำพังเพย
สุภาษิต และคำพังเพย จัดเป็น "สำนวน" ด้วยกันทั้งคู่ เพราะมีความหมายในเชิงเปรียบเทียบ และเป็นถ้อยคำที่ใช้สืบเนื่องกันมานาน
สุภาษิต เป็นถ้อยคำที่มักใช้คำสั้น ๆ กะทัดรัดแต่มีความหมายลึกซึ้ง มีสัมผัสคล้องจอง ส่วนใหญ่สุภาษิตที่ใช้ในสังคมไทยมักมีที่มาจากคำสอนทางพุทธศาสนา
คำพังเพย เป็นถ้อยคำที่ให้ข้อคิด โดยกล่าวถึงพฤติกรรมหรือธรรมชาติรอบตัว ส่วนมากมักเป็นถ้อยคำที่เป็นข้อสรุปการกระทำหรือพฤติกรรมทั่วไป อาจมีที่มาจากนิทาน ตำนาน วรรณคดี