หากกระทำการใดให้เด่นดังหรือกลายเป็นที่สนใจของประชาคม จักเป็นการนำโชคร้ายมาสู่ตนเพราะมนุษย์มักอิจฉาริษยาหรือไม่ชอบเห็นคนอื่นเด่นเกินตน
ประเภทสำนวน
"ทำดีแต่อย่าเด่น" จัดว่าเป็น สุภาษิต เพราะว่า เป็นคำสอนโดยตรงที่ให้ข้อคิดในการดำเนินชีวิต มีความชัดเจนในตัวเอง ไม่ต้องตีความเพิ่มเติม สอนให้ทำความดีแต่ไม่ต้องโอ้อวดหรือทำตัวเด่นจนเกินไป
ที่มาและแนวคิดเบื้องหลัง
สุภาษิตนี้สอนให้คนเรารู้จักทำความดีอย่างสงบเสงี่ยม ไม่โอ้อวดหรือแสดงตัวจนเกินงาม สะท้อนแนวคิดในสังคมไทยที่ยกย่องความถ่อมตน ความพอเหมาะพอควร สอนให้ทำความดีด้วยใจบริสุทธิ์ ไม่หวังผลตอบแทนหรือชื่อเสียง เพราะการทำตัวเด่นเกินไปอาจนำมาซึ่งความอิจฉาริษยา การจับผิด หรือความคาดหวังที่สูงเกินไปจากผู้อื่น
ตัวอย่างการใช้สำนวน "ทำดีแต่อย่าเด่น" ในประโยค
- พ่อสอนเสมอว่า ทำดีแต่อย่าเด่น ช่วยเหลือผู้อื่นแต่ไม่ต้องโอ้อวดให้ใครรู้
- ในที่ทำงาน ฉันยึดหลัก ทำดีแต่อย่าเด่น ทำงานให้เต็มที่แต่ไม่ต้องพยายามแย่งซีนใคร
- คุณแม่มักบอกลูกๆ เสมอว่า ทำดีแต่อย่าเด่น เพราะคนที่ทำตัวเด่นมักถูกจับผิดได้ง่าย
สรุปและทบทวนเรื่อง สำนวน สุภาษิต และคำพังเพย
สุภาษิต และคำพังเพย จัดเป็น "สำนวน" ด้วยกันทั้งคู่ เพราะมีความหมายในเชิงเปรียบเทียบ และเป็นถ้อยคำที่ใช้สืบเนื่องกันมานาน
สุภาษิต เป็นถ้อยคำที่มักใช้คำสั้น ๆ กะทัดรัดแต่มีความหมายลึกซึ้ง มีสัมผัสคล้องจอง ส่วนใหญ่สุภาษิตที่ใช้ในสังคมไทยมักมีที่มาจากคำสอนทางพุทธศาสนา
คำพังเพย เป็นถ้อยคำที่ให้ข้อคิด โดยกล่าวถึงพฤติกรรมหรือธรรมชาติรอบตัว ส่วนมากมักเป็นถ้อยคำที่เป็นข้อสรุปการกระทำหรือพฤติกรรมทั่วไป อาจมีที่มาจากนิทาน ตำนาน วรรณคดี