ทุกคนต้องพึ่งพาอาศัยกัน ต้องเห็นอกเห็นใจกัน จึงควรผูกไมตรีกันไว้
ประเภทสำนวน
"น้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่า" จัดว่าเป็น สุภาษิต เพราะว่า เป็นคำสอนโดยตรงที่มีความหมายชัดเจน สอนให้คนรู้จักพึ่งพาอาศัยกันและกัน เป็นข้อคิดที่เข้าใจได้ทันทีโดยไม่ต้องตีความมาก มีลักษณะเป็นถ้อยคำที่ให้แง่คิดในการดำเนินชีวิต สมบูรณ์ในตัวเอง
ที่มาและแนวคิดเบื้องหลัง
สุภาษิตนี้มีที่มาจากความสัมพันธ์ของธรรมชาติที่พึ่งพาอาศัยกัน เรือต้องอาศัยน้ำเพื่อลอยไปได้ ขณะที่เสือก็ต้องอาศัยป่าเป็นที่อยู่อาศัยและล่าเหยื่อ สุภาษิตนี้สะท้อนแนวคิดเรื่องการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน คนเราต้องอยู่ร่วมกันในสังคม ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เหมือนสิ่งต่างๆ ในธรรมชาติที่ต่างต้องพึ่งพากัน
ตัวอย่างการใช้สำนวน "น้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่า" ในประโยค
- ถึงหมู่บ้านเราจะขัดแย้งกับหมู่บ้านเขาบ้าง แต่ยามน้ำท่วมเราก็ต้องช่วยเหลือกัน น้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่า อยู่คนเดียวไม่ได้หรอก
- ความสัมพันธ์ระหว่างบริษัทและลูกค้าเป็นเรื่องของน้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่า เราต้องดูแลลูกค้าให้ดี เขาก็จะสนับสนุนธุรกิจเราต่อไป
- สังคมมนุษย์อยู่ได้เพราะน้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่า ไม่มีใครเก่งไปทุกเรื่อง เราต้องพึ่งพาความสามารถของกันและกัน
สรุปและทบทวนเรื่อง สำนวน สุภาษิต และคำพังเพย
สุภาษิต และคำพังเพย จัดเป็น "สำนวน" ด้วยกันทั้งคู่ เพราะมีความหมายในเชิงเปรียบเทียบ และเป็นถ้อยคำที่ใช้สืบเนื่องกันมานาน
สุภาษิต เป็นถ้อยคำที่มักใช้คำสั้น ๆ กะทัดรัดแต่มีความหมายลึกซึ้ง มีสัมผัสคล้องจอง ส่วนใหญ่สุภาษิตที่ใช้ในสังคมไทยมักมีที่มาจากคำสอนทางพุทธศาสนา
คำพังเพย เป็นถ้อยคำที่ให้ข้อคิด โดยกล่าวถึงพฤติกรรมหรือธรรมชาติรอบตัว ส่วนมากมักเป็นถ้อยคำที่เป็นข้อสรุปการกระทำหรือพฤติกรรมทั่วไป อาจมีที่มาจากนิทาน ตำนาน วรรณคดี