คนพูดเก่งพูดเป็นมีแต้มต่อกว่าความรู้เพียงอย่างเดียว
สมัยก่อนการศึกษาเล่าเรียนเขียนอ่านยังไม่แพร่หลาย คนที่รู้หนังสือมีน้อย บางคนก็ได้ดีเพราะปาก การคิดเลขหรือการคำนวณนั้นมีความสำคัญน้อยลงมาอีก แม้เดี๋ยวนี้คนที่มีความรู้ดีแต่พูดไม่เก่ง ก็เอาดีได้ยาก ส่วนความชั่วความดีนี้ ทำลงไปแล้วย่อมเป็นเสมือนตราที่ประทับลงไปให้รู้ว่าคนนั้นเป็นคนดี หรือคนชั่ว
ประเภทสำนวน
"ปากเป็นเอก เลขเป็นโท หนังสือเป็นตรี ชั่วดีเป็นตรา" จัดว่าเป็น สุภาษิต เพราะว่า เป็นคำสอนโดยตรงที่มีลักษณะเป็นข้อคิดและคำสอนที่ชัดเจน เข้าใจได้ทันทีโดยไม่ต้องตีความมาก เกี่ยวกับการให้ความสำคัญกับสิ่งต่างๆ ในชีวิตตามลำดับ
ที่มาและแนวคิดเบื้องหลัง
สุภาษิตนี้มีที่มาจากหลักในการดำเนินชีวิตของคนไทยในอดีต โดยเรียงลำดับความสำคัญของสิ่งต่างๆ ที่จะทำให้ชีวิตเจริญก้าวหน้า โดย 'ปากเป็นเอก' หมายถึงการพูดจาดี มีวาจาสิทธิ์ สำคัญที่สุด 'เลขเป็นโท' หมายถึงความรู้ทางคณิตศาสตร์หรือการคำนวณสำคัญรองลงมา 'หนังสือเป็นตรี' หมายถึงความรู้ทางอักษรศาสตร์หรือวิชาการทั่วไปสำคัญเป็นอันดับสาม และ 'ชั่วดีเป็นตรา' หมายถึงคุณธรรมความประพฤติเป็นเครื่องประทับตราหรือกำหนดคุณค่าของคน
ตัวอย่างการใช้สำนวน "ปากเป็นเอก เลขเป็นโท หนังสือเป็นตรี ชั่วดีเป็นตรา" ในประโยค
- ผู้ใหญ่มักสอนลูกหลานว่า ปากเป็นเอก เลขเป็นโท หนังสือเป็นตรี ชั่วดีเป็นตรา จึงควรระวังวาจาและประพฤติตนให้ดี
- แม้จะมีความรู้ดี แต่ถ้าพูดจาไม่เป็น ก็อาจไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต สมดังคำสอน ปากเป็นเอก เลขเป็นโท หนังสือเป็นตรี ชั่วดีเป็นตรา
สรุปและทบทวนเรื่อง สำนวน สุภาษิต และคำพังเพย
สุภาษิต และคำพังเพย จัดเป็น "สำนวน" ด้วยกันทั้งคู่ เพราะมีความหมายในเชิงเปรียบเทียบ และเป็นถ้อยคำที่ใช้สืบเนื่องกันมานาน
สุภาษิต เป็นถ้อยคำที่มักใช้คำสั้น ๆ กะทัดรัดแต่มีความหมายลึกซึ้ง มีสัมผัสคล้องจอง ส่วนใหญ่สุภาษิตที่ใช้ในสังคมไทยมักมีที่มาจากคำสอนทางพุทธศาสนา
คำพังเพย เป็นถ้อยคำที่ให้ข้อคิด โดยกล่าวถึงพฤติกรรมหรือธรรมชาติรอบตัว ส่วนมากมักเป็นถ้อยคำที่เป็นข้อสรุปการกระทำหรือพฤติกรรมทั่วไป อาจมีที่มาจากนิทาน ตำนาน วรรณคดี