การกระทำอะไรต้องให้เป็นไปตามจังหวะขั้นตอนของมัน ถ้าทำผิดลำดับอาจเสียหาย
ตามปรกติผลไม้ เช่นมะม่วงก่อนจะสุก จะต้องห่ามเสียก่อน การกระทำอะไรต้องให้เป็นไปตามจังหวะขั้นตอนของมัน ถ้าทำผิดลำดับอาจเสียหาย เหมือนผลไม้ที่ยังไม่แก่ เอามาบ่มแม้จะสุก แต่ก็จะเข้าทำนองหัวหวานก้นเปรี้ยว หรือยังเรียนหนังสือไม่จบ ยังหาเงินไม่ได้ ริมีลูกมีเมียเสียก่อน ตัวเองก็จะเดือดร้อนลูกเมียก็จะพลอยเดือดร้อนไปด้วย
ประเภทสำนวน
"อย่าชิงสุกก่อนห่าม" จัดว่าเป็น สุภาษิต เพราะว่า มีลักษณะเป็นคำสอนหรือข้อคิดโดยตรง มีการใช้คำกริยานำหน้า 'อย่า' ซึ่งเป็นลักษณะของคำสั่งสอนที่ชัดเจน และเข้าใจได้ทันทีว่าเป็นคำเตือนไม่ให้ทำสิ่งใดก่อนเวลาอันควร
ที่มาและแนวคิดเบื้องหลัง
สำนวนนี้มีที่มาจากการเก็บผลไม้ คำว่า 'สุก' หมายถึงผลไม้ที่สุกแล้ว ส่วน 'ห่าม' หมายถึงผลไม้ที่ยังไม่สุกเต็มที่ การชิงสุกก่อนห่าม คือการรีบเก็บผลไม้มากินก่อนที่มันจะสุกเต็มที่ ซึ่งเปรียบเหมือนกับการทำสิ่งใดก่อนเวลาอันควร โดยเฉพาะเรื่องความสัมพันธ์ชายหญิงก่อนถึงวัยอันควร
ตัวอย่างการใช้สำนวน "อย่าชิงสุกก่อนห่าม" ในประโยค
- พ่อแม่มักสอนลูกว่าอย่าชิงสุกก่อนห่าม ต้องเรียนหนังสือให้จบก่อนค่อยคิดเรื่องแต่งงาน
- ครูอบรมนักเรียนว่าอย่าชิงสุกก่อนห่าม ยังเป็นเด็กอยู่ ควรตั้งใจเรียนหนังสือก่อน
- การมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกันตั้งแต่อายุยังน้อยถือเป็นการชิงสุกก่อนห่าม อาจทำให้อนาคตต้องสะดุด
สรุปและทบทวนเรื่อง สำนวน สุภาษิต และคำพังเพย
สุภาษิต และคำพังเพย จัดเป็น "สำนวน" ด้วยกันทั้งคู่ เพราะมีความหมายในเชิงเปรียบเทียบ และเป็นถ้อยคำที่ใช้สืบเนื่องกันมานาน
สุภาษิต เป็นถ้อยคำที่มักใช้คำสั้น ๆ กะทัดรัดแต่มีความหมายลึกซึ้ง มีสัมผัสคล้องจอง ส่วนใหญ่สุภาษิตที่ใช้ในสังคมไทยมักมีที่มาจากคำสอนทางพุทธศาสนา
คำพังเพย เป็นถ้อยคำที่ให้ข้อคิด โดยกล่าวถึงพฤติกรรมหรือธรรมชาติรอบตัว ส่วนมากมักเป็นถ้อยคำที่เป็นข้อสรุปการกระทำหรือพฤติกรรมทั่วไป อาจมีที่มาจากนิทาน ตำนาน วรรณคดี