อย่าทำอะไรที่ต้องเสียทรัพย์โดยไม่ได้ประโยชน์คุ้มกับเงินทองที่ต้องเสียไป
เหมือนตำน้ำพริกเพียงครกหนึ่งแล้วเอาไปละลายในแม่น้ำ ซึ่งมีน้ำมาก จะทำให้น้ำในแม่น้ำกลายเป็นน้ำพริกอย่างในหม้อแกงไม่ได้
ประเภทสำนวน
"อย่าตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ" จัดว่าเป็น สุภาษิต เพราะว่า ถือว่าเป็นสุภาษิต เพราะเป็นคำสอนโดยตรง มีความหมายชัดเจนที่สอนให้ไม่ทำสิ่งที่สิ้นเปลืองโดยไร้ประโยชน์ ข้อความมีลักษณะเป็นประโยคสมบูรณ์ที่ให้คำสอนแก่ผู้ฟังโดยตรง เข้าใจได้ทันที โดยไม่ต้องตีความเพิ่มเติม
ที่มาและแนวคิดเบื้องหลัง
สำนวนนี้มีที่มาจากการทำอาหารไทย คือการตำน้ำพริก ซึ่งหากนำน้ำพริกที่ตำแล้วไปละลายในแม่น้ำ ก็จะเป็นการเสียเวลาและทรัพยากรโดยเปล่าประโยชน์ น้ำพริกจะเจือจางหายไปในแม่น้ำโดยไม่มีใครได้รับประโยชน์ สุภาษิตนี้สอนให้รู้จักใช้ทรัพยากรหรือความพยายามอย่างคุ้มค่า ไม่ทำสิ่งที่ไร้ประโยชน์หรือเสียของโดยเปล่าประโยชน์
ตัวอย่างการใช้สำนวน "อย่าตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ" ในประโยค
- ไม่ต้องพยายามอธิบายเรื่องซับซ้อนให้เด็กเล็กฟังหรอก มันเหมือนกับอย่าตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ เขายังไม่พร้อมที่จะเข้าใจ
- การพยายามสอนคนที่ไม่ตั้งใจเรียนรู้ ก็เหมือนกับตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ เสียเวลาเปล่า
- คุณครูบอกว่าอย่าตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ อย่าทุ่มงบประมาณสร้างห้องปฏิบัติการที่นักเรียนไม่ได้ใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่
สรุปและทบทวนเรื่อง สำนวน สุภาษิต และคำพังเพย
สุภาษิต และคำพังเพย จัดเป็น "สำนวน" ด้วยกันทั้งคู่ เพราะมีความหมายในเชิงเปรียบเทียบ และเป็นถ้อยคำที่ใช้สืบเนื่องกันมานาน
สุภาษิต เป็นถ้อยคำที่มักใช้คำสั้น ๆ กะทัดรัดแต่มีความหมายลึกซึ้ง มีสัมผัสคล้องจอง ส่วนใหญ่สุภาษิตที่ใช้ในสังคมไทยมักมีที่มาจากคำสอนทางพุทธศาสนา
คำพังเพย เป็นถ้อยคำที่ให้ข้อคิด โดยกล่าวถึงพฤติกรรมหรือธรรมชาติรอบตัว ส่วนมากมักเป็นถ้อยคำที่เป็นข้อสรุปการกระทำหรือพฤติกรรมทั่วไป อาจมีที่มาจากนิทาน ตำนาน วรรณคดี